นครปฐม หลวงพี่น้ำฝนคณะศิษยานุศิษย์สายบุญมอบเตียงไฟฟ้าสำหรับผู้ป่วยให้รพ.นครปฐม34เตียง
เมื่อวันที่ 22กุมภาพันธ์2564 ที่ วิหารพระพุทธเมตตาประทานพร วัดไผ่ล้อม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
กองทุนหลวงพ่อพูลวัดไผ่ล้อม โดยพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เป็นประธานมอบเตียงไฟฟ้าสำหรับผู้ป่วย จำนวน 34 เตียง เป็นเงิน 1,326,000 บาท ซึ่งร่วมกับคณะศิษยานุศิษย์สายบุญหลายท่าน ร่วมกันบริจาคทรัพย์ ซื้อเตียงไฟฟ้าสำหรับผู้ป่วย และได้จัดมอบเตียงไฟฟ้าสำหรับผู้ป่วย ให้ศูนย์โรคหัวใจและระบบหลอดเลือด โรงพยาบาลนครปฐมไปแล้ว ครั้งที่แรกเมื่อ วันที่ 5 ตุลาคม2563 จำนวน 4 เตียง เป็นเงิน 156,000 บาท ครั้งที่2เมื่อวันที่18 มกราคม 2564 จำนวน 25 เตียงเป็นเงิน 975,000 บาท และในครั้งนี้เป็นครั้งที่3 วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ได้มอบเตียงไฟฟ้าสำหรับผู้ป่วย จำนวน 34 เตียง เป็นเงิน 1,326,000 บาท ซึ่งรวมทั้งสามครั้งจำนวน 63เตียง เป็นเงิน 2,457,000 บาท
เพื่อนำไปใช้กับศูนย์โรคหัวใจและระบบหลอดเลือด โรงพยาบาลนครปฐม ซึ่งได้ตั้งเป้าพร้อมหาให้ครบ 200 เตียง รวมมูลค่าเกือบ 10 ล้านบาท กองทุนหลวงพ่อพูลวัดไผ่ล้อม โดยพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ยังพร้อมเดินหน้าช่วยสังคมให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด โดยมี แพทย์หญิงดารารัตน์ รัตนรักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครปฐม เป็นผู้รับมอบ พร้อมด้วย นายบุญเชิด กิติธรางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม เป็นตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ และประชาชนเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน
พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้กล่าวว่า การมอบเตียงไฟฟ้าสำหรับผู้ป่วย ในครั้งนี้ ทางกองทุนหลวงพ่อพูล โดยอาตมาภาพ พร้อมคณะศิษยานุศิษย์สายบุญหลายท่าน โดยมี นายสมชาติ สาลีพัฒนา (เฮียเงี๊ยบ) เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ พร้อม ดร.ประกอบ นางวรรณา จิรกิติ, นายวิชัย นางจุฑามาศ เบญจรงคกุล, นายสมสมศักดิ์ นางวนิดา รงควิลิต, และคณะเพื่อนสายบุญหลายท่าน ได้ร่วมกันรังสรรค์ขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในโรงพยาบาลซึ่งก่อนหน้าได้ทำการ มอบไปแล้วสองครั้ง และครั้งนี้ครั้งที่3 เพื่อให้ผู้ป่วยได้นอนบนเตียงที่ได้มาตรฐาน การรับรองจาก CE. UL ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล เทียบเท่ากับห้องพิเศษในโรงพยาเอกชน ทำให้เป็นการยกระดับทางการดูแลและฟักฟื้นของผู้ป่วยให้เกิดความสะดวก สบายทั้งผู้ป่วย ญาติ และทีมแพทย์ พยาบาล ผู้ทำการรักษา โดยคำว่าทุกข์เวทนาคณะศิษย์ยานุศิษย์นั้นได้เห็นอาตมาภาพได้พาคณะศิษย์ยานุศิษย์ทุกคนมาให้เห็นทุกข์เวทนาและภาพที่ปรากฏที่เคยเห็นผู้ป่วยนอนไร้เตียง แบบเปลสนามก็ติดตาอาตมารวมทั้งให้โยมมาทำพิธีมอบด้วยตัวเองโยมก็มีความสุขกายสุขใจโดยเฉพาะกระแสที่ทำมานั้น ทุกคนอยากที่จะมาร่วมบุญซึ่งงบประมาณของทางโรงพยาบาลนั้นไม่เพียงพอกับการช่วยเหลือ และอาตมาภาพ ถือว่าเป็นกิจของสงฆ์ตามรอยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าข้อที่ว่าทุกคนต้อง เกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ตาย โดยเฉพาะการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดการที่จะรักษาคนเราถ้าเสียชีวิตลงไปมันก็จบแล้ว แต่ยังไม่เสียชีวิตไม่มีใครที่จะปล่อยให้คนคนนั้นเสียชีวิตโดยที่ไม่ทำการรักษา ซึ่งกองทุนหลวงพ่อพูลวัดไผ่ล้อมไม่เพียงแค่ทำการมอบเตียงไฟฟ้าสำหรับผู้ป่วย ให้กับโรงพยาบาลศูนย์นครปฐม เท่านั้น แต่ยังได้มอบเตียงผู้ป่วยแบบไฟฟ้าให้โรงพยาบาล อื่นๆมาแล้วอีกหลายแห่ง จึงเป็นการทำได้ตามเจตนารมณ์ของอาตมาภาพตั้งแต่แรก โดยมีคณะศิษยานุศิษย์สายบุญหลายท่าน ได้ทราบข่าว พร้อมขอร่วมกุศลในการทำประโยชน์ให้กับสังคมในด้านการสาธารณสุขเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้สามารถมอบเตียงผู้ป่วยแบบไฟฟ้า และเกิดประโยชน์แก่ผู้ป่วยที่มารอรับการรักษาพยาบาลศูนย์โรคหัวใจและระบบหลอดเลือด โรงพยาบาลนครปฐม ที่อยู่ในเขตบริการสุขภาพที่5 ซึ่งได้ให้บริการใน8จังหวัด ที่มีผู้เข้ามารับการรักษาเป็นจำนวนมากอีกด้วย
ทั้งนี้กองทุนหลวงพ่อพูลวัดไผ่ล้อม โดยพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ยังได้ตั้งเป้าว่า จะเดินหน้าทำงานสานต่อมอบเตียงผู้ป่วยแบบไฟฟ้า ให้ครบจำนวน200เตียง เพื่องานด้านสาธารณะสงเคราะห์ และทำประโยชน์ให้กับโรงพยาบาลและสังคมส่วนรวม
และทางด้านนายสมชาติ สาลีพัฒนา (เฮียเงี๊ยบ) เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ ได้กล่าวว่าได้เห็นหลวงพี่ทำงานด้านสาธารณประโยชน์เกี่ยวกับโรงพยาบาล เกี่ยวกับเด็กนักเรียนซึ่งทางร้านเราก็มีโครงการเกี่ยวกับสาธารณกุศลอยู่แล้วและเห็นโครงการนี้ดีที่ช่วยโรงพยาบาลเลยมาร่วมบุญกับหลวงพี่มาตั้งแต่ต้นอย่างเมื่อเช้าผมออกมาจากบ้านเจอเพื่อนถามว่าจะไปไหนบอกว่าจะไปบริจาคเตียงคนป่วยเขาก็ขอร่วมบุญด้วย10เตียงแต่ครั้งนี้ไม่ทันแล้วต้องเป็นครั้งหน้าผมคิดว่าที่โรงพยาบาลขอมา200เตียงคิดว่าอย่างไรหลวงพี่ศิษยานุศิษย์มาช่วยกันก็น่าจำทำได้
ซึ่งทางด้าน แพทย์หญิงดารารัตน์ รัตนรักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครปฐม กล่าวว่า ตามที่โรงพยาบาลนครปฐม ขอรับการสนับสนุนเตียงไฟฟ้า จากกองทุนหลวงพ่อพูล โดย พระครูปสัดสิทธิวัฒน์ กิตติจิตโต เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ว่าด้วยโรงพยาบาลนครปฐม ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ขนาด 720เตียง ได้เปิดให้บริการผู้ป่วย มาเป็นระยะวลา 68 ปี ในแต่ละปีได้มีการให้การดูแลรักษาผู้บัวยเพิ่มขึ้น ทำให้อุปกรณ์ที่ใช้ในการให้บริการมีความชำรุดและเสื่อมสภาพไปตามระยะเวลาและอายุการใช้งาน โดยเฉพาะจากการสำรวจตึกผู้ป่วยต่างๆพบว่ามีเตียงผู้ป่วยที่ชำรุดเป็นจำนวนมาก ประกอบกับในปีงบประมาณ 2560โรงพยาบาลนครปฐม ได้รับงบประมาณในการก่อสร้างอาคารศูนย์โรคหัวใจ เพื่อให้บริการผู้ป่วยโรคหัวใจเขตบริการสุขภาพที่5 และการก่อสร้างอาคารดังกล่าวได้ก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว แต่เนื่องจากยังขาดอุปกรณ์ที่จำเป็นสำคัญจำนวนหลายรายการ อย่างเช่นเครื่องช่วยหายใจ อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ดูแลคนไข้โรคสมองและโรคหัวใจ โดยโรงพยาบาลนครปฐมเป็นโรงพยาบาลที่ดูแลคนไข้ซับซ้อนเยอะขึ้น และสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วน ที่จะขอรับการสนับสนุนเตียงไฟฟ้า จำนวน 200เตียงในการนี้ เพื่อให้การบริการผู้ป่วยทั้งในจังหวัดนครปฐม และในเขตบริการสุขภาพที่5 มีครุภัณฑ์ที่มีความเพียงพอและพร้อมให้บริการ ผู้ป่วยได้รับการดูแลและได้รับความสะดวกสบาย เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้รับบริการ และบุคลากรทางการแพทย์
และทางวัดไผ่ล้อม หลวงพี่น้ำฝนได้มีความเมตตากับทางโรงพยาบาลนครปฐมเป็นอย่างยิ่งไม่ใช่แค่เรื่องของเตียงที่ทางวัดไผ่ล้อมและคณะศิษย์ได้บริจาคให้โรงพยาบาลโดยปกติแล้วตอนนี้ศูนย์สุขภาพชุมชนของโรงพยาบาลนครปฐมและศูนย์เจาะเลือดของโรงพยาบาลนครปฐมที่เราได้มาตั้งที่วัดไผ่ล้อมทางทีมของวัดไผ่ล้อมก็ได้ให้การช่วยเหลือก็จะเห็นว่า ในช่วงเช้ามืดเลยทางหลวงพี่น้ำฝนและก็ทางศิษย์ ทางพระสงฆ์ที่วัดก็มาช่วยดูช่วยรับผู้รับบริการที่มาใช้บริการเจาะเลือดการที่มาดูคนไข้ที่ศูนย์สุขภาพชุมชนเป็นผู้ป่วยที่ไม่ได้ซับซ้อนมากและพอมาที่ศูนย์สุขภาพชุมชนวัดไผ่ล้อมแห่งนี้ทำให้ลด การที่ผู้ป่วยจะต้องไปรอนานที่โรงพยาบาลไปแออัดที่โรงพยาบาลสำหรับของเรื่องการเจาะเลือดก็ตามนโยบายและก็โครงการของโรงพยาบาลก็คือโดยปกติแล้วคนไข้ที่มารับการรักษาจะต้องมีการเจาะเลือดเก็บการสิ่งส่งตรวจก็จะทำให้คนไข้ไปรอที่โรงพยาบาลเยอะพอเรากระจายศูนย์ของการเจาะเลือดออกมาที่วัดไผ่ล้อมแห่งนี้เราก็ได้รับความอนุเคราะห์จากทางวัดทำให้คิวของการเจาะเลือดที่โรงพยาบาลจากคนไข้เคยรอหลายชั่วโมงพอมาที่วัดคนไข้ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีสามารถที่จะกลับบ้านแล้วก็ไปใช้ชีวิตตามปกติได้เลยไม่ต้องรอคิวนานเพราะถึงวันที่มีนัดตรวจกับทางแพทย์ที่โรงพยาบาลนั่นก็ไปโดยตรงและไม่ต้องไปรอเจาะเลือดไม่ต้องไปรอผลเลือดแล้ว เป็นเรื่องที่ดีมากที่ทางวัดช่วยเหลือพ่อช่วยผู้รับบริการช่วยคนไข้ก็คือการช่วยชีวิตคนนั่นเองนอกจากนี้แล้วทางหลวงพี่น้ำฝนเองก็ช่วยเรื่องการที่ให้คำแนะนำทางด้านสุขภาพด้วยบางทีด้านสาธารณสุขทั้งด้านการแพทย์พอเราพูดก็จะได้ผลประมาณหนึ่งพอทางพระช่วยพูด ช่วยทำให้คนไข้เข้าใจได้ดีมากยิ่งขึ้นและปฏิบัติตัวได้ดีมากขึ้นเป็นผลที่ดีกับผู้รับบริการกับคนไข้กับญาติด้วยและกลับชุมชนอีกด้วย