สมุทรสาคร จับจริง ปรับจริง ไม่สวมแมสเจอโทษหนัก 20000 บาท พบผู้ฝ่าฝืนแล้ว 5 ราย

จับจริง ปรับจริง ไม่สวมแมสเจอโทษหนัก 20000 บาท พบผู้ฝ่าฝืนแล้ว 5 ราย
ตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร ได้ออกประกาศมาตรการเข้มเรื่องการสวมใส่หน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้าน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2563 ที่ผ่านมานั้น ภาพรวมของจังหวัดสมุทรสาคร พบว่ามีผู้สวมใส่หน้ากากอนามัยเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังคงพบผู้ฝ่าฝืนการกระทำความผิดบ้างเพียงไม่กี่ราย ซึ่งในส่วนของผู้ที่ถูกจับกุมตัวรายแรกเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2563 คือ นายศุภกร (ขอสงวนนามสกุล)ชาวตำบลท่าทราย ถูกจับกุมตัวที่บริเวณจุดกลับรถบิ๊กซี ถ.เศรษฐกิจ 1 ต.ท่าทราย อ.เมืองสมุทรสาคร ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สภ.เมืองสมุทรสาคร ได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนแจ้งความดำคดีตามกฎหมาย ก่อนจะนำตัวส่งศาลจังหวัดสมุทรสาคร ในวันที่ 9 เมษายน 2563 เพื่อพิจารณาโทษปรับ ข้อหากระทำผิดฐาน “เป็นผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ (ไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เมื่อออกจากบ้านในเขตจังหวัดสมุทรสาคร)” ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท


นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยว่า ผลจากมาตรการบังคับใช้ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย จะเป็นหน้ากากแบบผ้า หรือแบบแพทย์ ตั้งแต่ออกจากบ้านแบบครอบคลุมครบ 100 เปอร์เซ็นต์ทั่วทั้งจังหวัดนั้น เป็นมาตรการที่กำหนดขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักในการป้องกันตนเองไม่ให้เชื้อโควิด-19 เข้าสู่ร่างกาย โดยไม่ได้มุ่งหวังในเงินค่าปรับที่มีโทษสูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท แต่อย่างใดทั้งสิ้น ส่วนอำนาจในการจับ-ปรับ ก็ได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 เรื่องของการจับผู้ที่ฝ่าฝืนไม่สวมหน้ากากอนามัย ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนที่ 2 การปรับเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลจังหวัดสมุทรสาคร แล้วแต่จะพิจารณาโทษว่าต้องปรับเท่าไหร่แต่สูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งหากถูกดำเนินคดีแล้วจะเสียทั้งเงินและเวลามากกว่าค่าหน้ากากอนามัย แต่ทั้งนี้ก็พบว่ายังคงมีผู้ฝ่าฝืนกระทำความผิด โดยจับกุมเป็นตัวอย่างแล้วรายแรกเมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งก็อยากจะฝากบอกพี่น้องประชาชนว่า เรื่องของการช่วยกันป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 นั้น เป็นหน้าที่ของทุกคน โดยมาตรการสวมหน้ากากนับเป็นมาตรการที่ดีที่สุดในขณะนี้ จึงต้องการให้ทุกคนมีจิตสำนึกร่วมกันในการสวมหน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้าน เพราะหากไม่กระทำตามแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ฯ จะดำเนินการจับจริง ปรับจริง ประกาศนี้ไม่ได้ออกมาแค่เพื่อบังคับใช้ในกระดาษเท่านั้น แต่บังคับใช้ในชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง จึงขอให้ทุกคนปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด สำหรับผู้ที่ถูกจับรายแรกนั้น ได้มีการวางหลักทรัพย์ประกันตัวออกไปในชั้นสอบสวนเป็นเงิน 20,000 บาท แต่ในส่วนของค่าปรับฐานกระทำฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อ จะต้องเป็นอำนาจของศาลจังหวัดสมุทรสาคร ที่จะพิจารณาสั่งปรับต่อไป และเมื่อเสียค่าปรับที่ศาลแล้ว ก็สามารถนำใบเสร็จจากค่าปรับมาขอเงินประกันคืนได้


นอกจากนี้เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. ของวันที่ 10 เมษายน 2563 ก็ยังมีผู้ที่ผู้ฝ่าฝืนประกาศจังหวัด ไม่สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ถูกจับเพิ่มอีกบริเวณสี่แยก สภ.เมืองสมุทรสาคร ถ.เศรษฐกิจ ต.มหาชัย อ.เมือง จว.สมุทรสาคร โดยถูกตั้งข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดฐาน “เป็นผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ (ไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เมื่อออกจากบ้านในเขตจังหวัดสมุทรสาคร) ถูกนำตัวไปดำเนินคดีเช่นเดียวกัน สำหรับการสรุปผล ณ วันที่ 9 เมษายน 2563 ศาลจังหวัดสมุทรสาคร ตัดสินผู้ฝ่าฝืนประกาศจังหวัดสมุทรสาคร ที่ให้ทุกคนสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยทุกคน พิพากษาปรับ 4,000 บาท ให้การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงเหลือโทษปรับ 2,000 บาท โดยจังหวัดสมุทรสาครมีผู้ถูกดำเนินคดีนี้รวมแล้วทั้งหมด 5 ราย


นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ยังกล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ของโรคโควิด-19 จังหวัดสมุทรสาครนั้น ขณะนี้แม้จะอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าค่อนข้างดีขึ้น คือ ไม่มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นติดต่อกันมาเป็นเวลา 6 วัน และยังมีผู้ป่วยรายเดิมรักษาหายเพิ่มอีก 1 ราย ทำให้ปัจจุบันคงเหลือผู้ป่วยที่ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอีก 10 ราย แต่ก็มีผู้เฝ้าระวังเพิ่มมากขึ้นเป็น 206 ราย ซึ่งในส่วนตรงนี้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้สถานการณ์ของจังหวัดเราทางด้านผู้ป่วยดีขึ้น ก็น่าจะมาจากที่คนส่วนใหญ่ดำเนินการตามมาตรการของจังหวัดนั่นเอง แต่ทั้งนี้ทุกคนก็ยังคงต้องร่วมมือร่วมใจกันดำเนินการตามมาตรการของจังหวัด ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่างเคร่งครัดต่อไป เพราะถึงอย่างไรเราก็ยังบอกไม่ได้ว่า จังหวัดสมุทรสาครจะมีผู้ป่วยด้วยโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นหรือลดลง ซึ่งหากวันนี้พี่น้องประชาชนไม่ร่วมมือกันเชื่อได้ว่า โรคโควิด-19 จะต้องระบาดอย่างหนักแน่นอน เพราะโรคนี้เป็นโรคอุบัติใหม่ ยังไม่มียารักษา มีการติดเชื้ออย่างรวดเร็ว ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดของการป้องกันในตอนนี้คือ การสวมหน้ากากอนามัย และความร่วมมือร่วมใจกันของทุกคนที่จะช่วยกัน อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ