ปลดทุกข์หมดไส้ เปิดใจหมดเปลือก
เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิต เป็นสัตว์ มนุษย์เราก็หนึ่งในนั้นแหละ ชีวิตมันไม่หลุดไปจากสี่คำนี้ พูดแบบหยาบ ๆ เขาพูดว่า กิน ขี้ ปี้ นอน ชีวิตสัตว์โลกวนเวียนอยู่กับสี่อย่างนี้ ถ้าพูดแบบดี ๆ มันก็คือปกติทั่วไปของมนุษย์และสัตว์ จะสุขจะทุกข์อยู่ที่สี่อย่างนี้
กิน ก็คือการบริโภค กินอาหาร ดื่มน้ำ ถ้าไม่กินก็ตาย ขาดน้ำสามวันตาย ขาดอาหารสามเดือนตาย
ขี้ คือขับถ่าย ทั้งหนักและเบา เราบริโภคอะไรเข้าไปมันก็เกิดของเสีย ก็ต้องขับมันออกมา ถ้าเกิดคนเรามีอะไรไปอุดตันลำไส้ หรือไตวาย ขับถ่ายไม่ได้ ก็ตาย
ปี้ เป็นคำหยาบ ถ้าพูดให้สุภาพคือการสืบพันธุ์ เป็นหน้าที่ตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตในการดำรงเผ่าพันธุ์ จึงทำให้เรามีความรู้สึกต่าง ๆ ในทางกามารมณ์ พอเกิดขึ้นแล้วและไม่ได้ตามต้องการ หรือว่าเกิดความผิดหวังในกามารมณ์ ก็มีความรู้สึกเหมือนจะตาย
นอน คือการพักผ่อน ทุกลมหายใจเราใช้พลังงาน เครื่องจักรที่ทำงานไม่พักมันจะเสียและพังฉันใด มนุษย์เราก็พังได้เพราะมิได้พักผ่อนฉันนั้น ฉะนั้นการพักผ่อนให้เพียงพอจึงสำคัญ ถ้าพักผ่อนไม่พอ โรคถามหา ถ้าเป็นโรคร้ายแรงก็ตาย
และกว่าจะตายด้วยเหตุสี่อย่างนี้ มันเกิดทุกข์ คนเราทุกข์เพราะสี่สิ่งนี้เป็นสำคัญ กินไม่ได้ ถ่ายไม่ออก ไม่สมหวังเรื่องกามารมณ์ ไม่ได้หลับไม่ได้นอน มันเกิดทุกข์แล้ว ฉะนั้น โลกทั้งใบอยู่ในตัวเรา โลกนี้เป็นทุกข์ ทุกข์นี้เกิดขึ้นในตัวของเรา ตัวของเราเป็นแหล่งเกิดทุกข์ คนเราเกิดมาไม่ได้เกิดมาพบกับสุข เพราะสุขนั้นถึงมีก็ไม่ถาวร ถ้าหมดปัจจัยให้เกิดสุข เหมือนข้าวหมด ย่อยเสร็จ เราก็หิว ต้องกินเข้าไปใหม่ให้พอจึงจะหายหิว ถ้าไม่กินมันก็ไม่หายหิว มันก็ยังท้องร้องอยู่นั่นแหละ แสดงว่าไอ้สิ่งที่เป็นธรรมชาติของเรามันคือความทุกข์ ไม่ใช่ความสุข
สรุปแล้วเป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไรกันแน่ในเมื่อชีวิตมันเป็นทุกข์แบบนี้ เจ้าชายสิทธัตถะก็เคยเจอปัญหาข้อนี้ ว่าทำไมโลกเรามันถึงทุกข์ แต่สุดท้ายพระองค์ก็พบกับความสุขที่เที่ยงแท้ ซึ่งเกิดมาจากการรู้ว่าทุกข์นั้นมันเป็นอย่างไร เห็นให้ชัดแจ้งว่านี่คือตัวทุกข์ มันมีเหตุของทุกข์อยู่ เมื่อชีวิตเป็นทุกข์ การดำรงอยู่ของสังขารร่างกายนี่แหละคือเหตุของทุกข์ และสังขารร่างกายนี้มันมาเป็นแบบนี้ได้เพราะเรายังติดยังวนอยู่ในสังสารวัฏ จึงต้องเวียนว่ายตายเกิด อันนี้ก็จะไปถึงปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเดี๋ยวมีโอกาสจะขยายความให้มากขึ้น แต่ ณ ตรงนี้ เอาเป็นว่า บรมสุขเกิดได้ด้วยปัญญาเห็นตัวทุกข์ ยกระดับจิตของตนให้ดีขึ้น ไม่ได้หมายความว่าได้บรมสุขแล้วทุกข์มันจะหายไป แต่เราก้าวข้ามความทุกข์นั้นไปได้ ท่านจึงเรียกว่า พ้นทุกข์ ทุกข์มันอยู่ แต่ว่าเราพ้นไป
พูดแบบนี้ชักเหมือนขู่ ขู่ว่าเรื่องการพ้นทุกข์มันยากเหลือเกิน เพราะคนเรายังอยู่ในอำนาจของทุกข์อยู่ มีความผิดบาปอะไรในชีวิตก็รู้สึกว่ามันหมองใจ มันยังเป็นทุกข์ เราก็เลยต้องปลดทุกข์ คำว่าปลดทุกข์นี้ ถ้าพูดนอกวัดก็หมายถึงเราไปเข้าห้องน้ำ เราปวดฉี่ปวดขี้ ก็ต้องปลดทุกข์ อาการปวดมันจึงจะหายไป จริง ๆ แล้ว น้ำปัสสาวะ อุจจาระ มันไม่ได้หายไปไหน แต่เราแค่ปลดมันออกมาทำให้เราโล่งสบายท้องขึ้น นั่นแหละปลดทุกข์ ก็เหมือนกับความทุกข์ในชีวิตเรา ตัวต้นเรื่องมันคืออะไร ก็คือขี้ เป็นปกติของมนุษย์ว่าต้องมีขี้ เราก็ต้องปลดมันออกมา คนบางคนใช้ชีวิตไม่ระวังในอดีต ขี้นั้นมันเป็นขี้ที่มีเชื้อโรค ทำให้เราปวดท้องเข้าไปอีก หรือที่เรียกว่าท้องร่วงท้องเสียท้องเดิน เป็นบรมทุกข์กว่าอะไรทั้งหมด เราก็ปลดปล่อยออกมาและบอกตัวเองว่า ต่อไปนี้เราจะกินให้ระวังขึ้น ของปรุงไม่สุก ของไม่ดีต่อสุขอนามัย ก็อย่าไปกินอีก เราตั้งมั่นว่าเราจะไม่ทำอย่างนั้นอีก เราจะทำแต่สิ่งที่ดี ตัวต้นเรื่องมันไม่หายไปไหน มันก็กองอยู่นั่นแหละ แต่ถ้าไม่ปลดล็อกสิ่งไม่ดีที่อยู่ในใจ มันก็ยังทุกข์ มันต้องถ่ายออกมา กลั้นไว้ก็ปวดเอง เมื่อเรายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ยอมรับในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดไว้ เราจะได้ใช้ชีวิตของเราต่อไปให้ดี เรื่องปากเรื่องท้องต้องระวัง เรื่องใช้ชีวิตของเราก็ต้องระวัง เราเคยกลั้วกับความไม่ดีอย่างไร ต่อไปก็อย่าไปกลั้วอีก ท้องจะได้ไม่เสีย เอ้ย จะได้ไม่เกิดทุกข์ด้วยความผิดพลาดของตนเอง
วัดไผ่ล้อมจัดพิธีขอขมากรรมมาสิบกว่าปีแล้ว ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ญาติโยมได้ปลดทุกข์ของตนออกมา ไม่ต้องกลั้นไว้ให้ทุกข์ ปลดออกมาให้คลายทุกข์นั้นเสีย เพื่อที่ต่อไปเราจะได้ทำชีวิตของเราได้ดีขึ้น ไม่ต้องจ่อมจมอยู่กับความทุกข์อีก ร่วมปลดทุกข์ ขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง ตั้งสัจจะวาจาลด ละ เลิก สิ่งไม่ดีทั้งปวง ในวันเสาร์ที่ 6 เมษายน 2567 เวลา 18.09 น. ณ วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ผู้เข้าร่วมพิธีจะได้รับเสื้อเปลี่ยนดวง ปลดทุกข์ในใจ เป็นเสื้อร่วมพิเศษ มีเฉพาะในพิธีนี้เท่านั้น ผู้เข้าร่วมพิธีไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
ขอเจริญพร