โลกหลายใบ ไม่ผิดกฎหมาย แต่ผิดกฎหมู่!?!
เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน ในบรรดาข่าวสารบ้านเมืองที่มีอยู่มากมายเปลี่ยนไปในแต่ละวัน ณ ตอนนี้คงไม่มีข่าวไหนที่จะถูกพูดถึงมากเท่ากับ “คดีน้องพร” ซึ่งเริ่มจากคดีฆาตกรรมทิ้งร่างที่ข้างมอเตอร์เวย์ มาจนถึงตอนนี้ ทุกอย่างได้ถูกขยายไปใหญ่โตอย่างไม่น่าเชื่อ โดยมีศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่ “น้องพร” ต้นเหตุที่ก่อให้เกิดคดีฆาตกรรมด้วยปัญหา “โลกหลายใบ” จนตอนนี้คนน่าจะลืมไปแล้วว่านี่คือคดีฆาตกรรม!
แม้คดีจะเริ่มต้นด้วยความหึงหวง แต่สังคมกลับขุดคุ้ยลึกลงไปกว่านั้น ขุดไปขุดมาจนสันนิษฐานเอาว่าน้องพรมีโลกไม่ต่ำกว่าสามใบ อาจจะถึงห้าใบด้วยซ้ำ และโลกหลายใบนี้เองที่ก่อให้เกิดความหึงหวงระหว่างชายในโลกใบหนึ่ง กับชายอีกคนในโลกอีกใบหนึ่งของน้องพร นำไปสู่เหตุฆาตกรรมโหดอย่างที่เรา ๆ ได้รับรู้กัน นอกจากนี้ คนก็ยังตาดีมีตาเห็น ขุดไปถึง “รอยสัก” ของน้องพรที่น่าจะเป็นต้นเหตุของโลกหลายใบ เรียกได้ว่าประเด็นได้ถูกขยายไปอย่างใหญ่โตอย่างคาดไม่ถึง
เอาเป็นว่า โลกหลายใบ เป็นเหตุให้เกิดเรื่องขึ้นมา แต่ถามว่าการมีโลกหลายใบนี้มันผิดไหม ทำไมจึงไม่มีบทลงโทษอะไรเกี่ยวกับโลกหลายใบ อันที่จริงแล้วพฤติกรรมการมีโลกหลายใบ ไม่ได้ผิดกฎหมายอาญาอะไร ไม่มีบทลงโทษว่าใครคบชู้คบซ้อนแล้วจะต้องถูกลงโทษ เว้นแต่ว่าเป็นเรื่องกับคนที่จดทะเบียนสมรสกันแล้ว ก็สามารถใช้เป็นเหตุหย่าได้ แต่อันนั้นก็เป็นเรื่องทางแพ่ง กฎหมายครอบครัวไม่ใช่อาญา และในทางศีลธรรมนั้น ถ้าดูตามตรง ๆ เข้าเป้าเข้าประเด็น คือ ศีลข้อสามสำหรับเบญจศีล ศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารา หากว่าตามตัวอักษรเคร่งครัด ก็ผิดแต่ผู้ไปล่วงละเมิดคนที่มีผู้คุ้มครองอยู่โดยปราศจากความยินยอม เช่น บิดา มารดา ครอบครัวเขา คู่ครองเขา ฉะนั้นถ้าไปละเมิดกับคนที่เขามีคู่ครอง คือมีสามีหรือภรรยาอยู่แล้ว และเขา กับคู่ครองของตนเอง ไม่ได้รับรู้ไม่ได้ยินยอมพร้อมใจให้มีโลกอีกใบ นั่นก็ผิดเต็มประตู แต่ถ้าไม่เข้ากรณีเหล่านั้นเลยก็อาจไม่ผิด ก็แล้วแต่กรณีไป หรือบางทีถึงไม่ผิดศีลกาเม แต่ศีลข้อมุสาอาจจะผิด ผิดเพราะไปบอกว่าฉันจะรักเธอคนเดียว โลกใบนี้มีแค่เธอ แต่ฉันก็ไปสร้างโลกอีกหลายใบ เป็นการมุสาวาทา
ที่สังคมตำหนิติเตียนการมีโลกหลายใบนั้นนอกจากทางศีล ก็ด้วยการมีโลกหลายใบนั้นมันขัดบรรทัดฐานของสังคม สังคมไม่ได้มีแค่กฎหมาย และศีลธรรมคอยควบคุม หากแต่มีบรรทัดฐานของสังคมที่รับรู้ร่วมกัน จะเรียกว่าเป็นกฎหมู่ก็ได้ สังคมรับรู้ร่วมกันว่า โลกหลายใบนั้นเป็นสิ่งที่สร้างปัญหาระหว่างบุคคล และอาจจะหมายถึงความไม่ซื่อตรงของบุคคลเพราะส่วนใหญ่แล้ว การมีโลกหลายใบนั้นเกิดจากความไม่ซื่อตรงต่อคู่ครองของบุคคลหนึ่ง หรือสอง เมื่อไม่มีความซื่อตรงต่อคู่ครองตนเองแล้ว เรื่องอื่นจะซื่อตรงได้อย่างไร ความซื่อตรงซื่อสัตย์เป็นคุณธรรมอันสำคัญยิ่งของมนุษย์ ไม่ควรจะบกพร่องไป ถ้าบกพร่องแล้วสังคมจะมีปัญหา จึงมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ไม่ควรเป็น ดังนั้น ผู้คนจึงตำหนิ หรือเป็น “โลกวัชชะ”
ทีนี้ ที่คนตาดีไปเห็นรอยสักสองแห่ง แห่งหนึ่งเป็นคาถา อีกแห่งเหมือนจิ้งจกสามหาง ยันต์คาถาที่ว่าก็คือคาถาพระสีวลี นะ ชา ลี ติ แบบที่หลวงพ่อพูลและอาตมาใช้มาตลอดนั่นแหละ นะ ชา ลี ติ ส่วนที่ว่าเหมือนจิ้งจกสามหาง ก็คือถุงเงินถุงทอง ทั้งสองอย่างนี้มีอำนาจทางโชคลาภ เมตตามหานิยม ใครเห็นก็รักใคร่ เหมาะแก่พ่อค้าแม่ขาย แต่เท่าที่อาตมาเรียนมา ยันต์จิ้งจกนั้นก็มีจริง ให้คุณด้านเสน่หา แต่ก็ไม่รู้นะว่าน้องพรมีหรือเปล่า
การสักยันต์เนี่ย อาตมาก็สักตามอย่างหลวงพ่อพูล ให้บังเกิดเป็นพุทธาคม วัดไผ่ล้อมก็รับสักยันต์ อาตมาลงคาถาให้บ่อย ๆ มันเป็นวิชาจารีตมาแต่โบราณ โบราณว่าชายชาตรีต้องมียันต์คุ้มตัว ต่อมาก็เลยนิยมกันทั่ว คนละนิดคนละหน่อย ดาราจากเมืองนอกเมืองนาก็มาสักยันต์เมืองไทย เป็นซอฟต์พาวเวอร์ ยันต์แต่ละชนิดก็มีความหมาย ให้ผลในทางต่างกัน เช่น แคล้วคลาดปลอดภัย เสริมเสน่ห์ เสริมโชคลาภเมตตามหานิยม แต่ความที่ว่ามีอาคมพุทธคุณมีถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ มีสัญลักษณ์แห่งองค์พระพุทธเจ้าอยู่ ก็ต้องมีข้อปฏิบัติ เป็นข้อต้องทำ และห้ามทำ ถ้าละเมิดแล้วของจะเสื่อม หรือหนักกว่านั้นคือย้อนกลับมาทำร้ายผู้สักเสียเอง
ฉะนั้น จะสักอะไร สักเต็มตัวหรือสักนิดหน่อย ก็ล้วนต้องปฏิบัติตนให้ถูกครรลองคลองธรรม ยันต์ทุกชนิด ทุกสำนักอาจารย์ มีกฎร่วมกันคือ ต้องอยู่ในศีลในธรรม ต้องรักษาศีลให้ได้อย่างน้อยคือศีลห้า ยันต์ถึงจะมีประสิทธิผล มิฉะนั้นยันต์ก็เป็นแค่น้ำหมึกติดผิว ไม่ได้ก่อให้เกิดอะไร หากยิ่งทำกรรมไม่ดีแล้ว กรรมก็จะไล่ล่าโดยไม่มีอะไรคุ้มครองเลย ก็ขอฝากเป็นข้อเตือนใจสำหรับใครที่ต้องการสักยันต์ ขอเจริญพร