วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม พร้อมพระเลขา ได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ลงพื้นที่ตรวจสอบที่บ้านพักแห่งหนึ่งย่านถนนกั๋งบ๊วย ในตัวเมืองนครปฐม หลังจากมีประชาชนร้องเรียนว่ามีพระสงฆ์ปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมโดยไม่กลับวัดต้นสังกัดและอาศัยอยู่ที่บ้านพักดังกล่าวมาเป็นแรม ซ้ำยังมีการขับรถกระบะไปจอดเพื่อบิณฑบาตและขับกลับมาจอดทิ้งไว้ที่สวนธารณะใกล้บ้าน เกือบทุกวัน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสร้างความไม่สบายใจกับพุทธศาสนิกชนที่พบอยู่เป็นประจำ
โดยเมื่อหลวงพี่น้ำฝนและเจ้าหน้าที่ไปถึงที่บ้านหลังดังกล่าว ได้พบกับพระภิกษุสงฆ์ ตามที่ได้รับรายงานและนิมนต์มาสอบถามหาหนังสือประจำตัว โดยพบว่ามีความผิดปกติ และมีอาการไม่พอใจแสดงความขัดขืนเพื่อจะขอหนังสือเอกสารประจำตัวกลับคืน โดยมีชาวบ้านหลายหลังที่ทราบเรื่องได้ออกมาดูเหตุการณ์ ซึ่งหลายคนในแวกดังจึงได้เชิญให้ไปทำการสอบสวนที่วัดไผ่ล้อมเพื่อประสานไปยังเจ้าอาวาสวัดต้นสังกัดที่จังหวัดกาญจนบุรีแต่ไม่พบหลักฐาน จึงได้ประสานนำส่งไปให้เจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์ สอบสวนอีกชั้นหนึ่งจากนั้นเมื่อคณะสงฆ์ได้นิมนต์เชิญไปพบกับพระครูทักษิณานุกิจ เจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์ ซึ่งได้ทำการสอบสวนและพยายามติดต่อกลับไปที่วัดต้นสังกัดอีกครั้ง กระทั่งได้คุยโทรศัพท์กับเจ้าอาวาส ได้แจ้งว่าเป็นพระจริงแต่ไม่ได้อาศัยอยู่ที่วัดดังกล่าวแล้ว ซึ่งขัดแย้งกับหนังสือเอกสารที่มีอยู่ในมือ เมื่อสอบสวนจึงพบว่าเป็นการดำเนินการเขียนเองและประทับตราโดยไม่มีเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอลงนาม จึงได้สั่งการให้ทำการสึกทันที
ขณะที่อีกรายมีประชาชน ได้แจ้งมาว่าพบพระภิกษุ ไม่กลับวัดและมีการปักกลดอยู่ใกล้กับโรมแรมชื่อดังริมถนนเพชรเกษม อยู่นานประมาณ 3 เดือน จึงได้เข้าไปตรวจสอบและพบพระภิกษุวัย 60 ปี ตามที่ร้องเรียนคือจะอาศัยปักกลดอยู่ริมถนนเพชรเกษม เพื่อไปบิณฑบาตและรับปัจจัยจากญาติโยม โดยมีต้นสังกัดอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี จากนั้นได้นิมนต์ไปให้ เจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์ ดำเนินการจับสึกอีก 1 ราย
พระครูทักษิณานุกิจ เจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม กล่าวว่า สำหรับกรณีพระที่ถูกจับสึกไปในวันนี้เนื่องจากมีประชาชนร้องเรียนให้มีการตรวจสอบว่ามีพระภิกษุสงฆ์ ออกบิณฑบาตและมาพักบ้านโยมนานนับปีโดยมีหลวงพี่น้ำฝน ได้ทำหน้าที่พระวินยาธิการ ได้นำมาให้ตรวจสอบก็พบว่าเป็นเรื่องจริงตามที่ได้รับร้องเรียนมา ตรวจสอบใบสุทธิก็พบว่ามีการปลอมแปลงใบสุทธิมีการอาศัยอยู่เป็นหลักแหล่ง ตามกฎของมหาเถระสมาคมก็สามารถจับศึกลาสิกขาได้เลย ซึ่งหากมีการร้องเรียนเข้ามาอีกก็จะมีการดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎของมหาเถระสมาคมซึ่งมีกฎระเบียบไว้อยู่แล้ว ซึ่งหากเคยมีการตักเตือนแล้วและยัง มีการประพฤติเช่นเดิมอีกก็สามารถจับศึกได้อีกเช่นกัน โดยคณะสงฆ์ก็ต้องมีการเข้มงวดกวดขันโดยเฉพาะคณะผู้ปกครองที่ต้องเคร่งครัด และขอฝากถึงพระภิกษุสงฆ์ที่คิดจะเข้า มาบิณฑบาตหรือมาอาศัยในจังหวัดนครปฐม ให้พึงสังวรว่าอาจจะถูกจับศึกได้ มีการปฏิบัติพระธรรมวินัย ซึ่งต้องอาศัยญาติโยมประชาชนก็ต้องช่วยคณะสงฆ์ด้วยในการเป็นหูเป็นตาเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมด้วย
พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวว่า ในฐานะประธานคณะทำงานดำเดินการแก้ไขข้อขัดข้อง ระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 เรื่องพฤติกรรมของพระที่อาศัยบ้านอยู่ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนมาสักพักนึงแล้วซึ่งได้ให้ลูกศิษย์และทีมงานเข้าตรวจสอบอยู่ตลอดแต่ด้วยมีภารกิจเยอะก็ยังไม่ได้เข้ามาดูด้วยตนเอง กระทั่งวันนี้มีคนร้องเรียนเข้ามาอีกจึงได้ลงพื้นที่ติดตามไปจนถึงบ้านพักแล้วก็พบตัวตามที่มีการร้องเรียนมา จากการตรวจสอบหนังสือสุทธิก็พบว่าเป็นการปลอมแปลงขึ้นมา เมื่อสอบถามไปยังเจ้าอาวาสต้นสังกัดแจ้งว่าไม่ได้อยู่แล้ว แต่มีการลงนามว่าอาศัยอยู่ที่สำนักสงฆ์ ซึ่งตามหลักก็ผิดอยู่แล้วเพราะพระภิกษุสงฆ์จะต้องมีวัดต้นสังกัดและอยู่ที่วัดในการทำวัดด้วย ดังนั้นได้ดำเนินการตามขั้นตอนในการส่งตัวไปให้เจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์ทำการสอบสวนซึ่งท่านได้แจ้งกลับมาว่าพบความผิดจริงตามที่มีการร้องเรียน ทางเจ้าอาวาสต้นสังกัดก็ได้แจ้งว่าสามารถให้ลาสิกขาออกไปได้เลย ซึ่งในทั้งสองกรณีที่มีการจับศึก เป็นการทำงานที่บูรณาการร่วมกันของคณะสงฆ์ ภาค 14 มีเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธานและมีเจ้าคณะอำเภอทุกอำเภอเป็นรองประธานรวมถึงคณะสงฆ์ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระวิญญาณธิการก็จะสามารถดำเนินการเต็มรูปแบบ ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งจะมีคณะทำงานที่ดำเนินการทั้งในพื้นที่จังหวัดนครปฐมและพระสงฆ์จากพื้นที่อื่นที่จะเข้ามาปฏิบัติตนไม่เหมาะสมในพื้นที่ได้แน่นอน” ในฐานะประธานคณะทำงานดำเดินการแก้ไขข้อขัดข้อง ระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 ขอยืนยันว่าจะมีการทำงานร่วมกันไม่ใช่แค่ในพื้นที่รับผิดชอบภาค 14 เท่านั้น แต่รวมถึงจะบูรณาการร่วมกันทั่วประเทศเพื่อตรวจสอบและควบคุมไม่ให้เกิดพฤติกรรมไม่เหมาะสม ซึ่งหากถึงมืออาตมาก็จะมีการดำเนินการไป ตามขั้นตอน ของกฎหมายและกฎของมหาเถรสมาคมอย่างตรงไปตรงมาแน่นอน” หลวงพี่น้ำฝนกล่าวปิดท้าย