ธรรมะคือแสงสว่าง หลักธรรมดีๆจากหลวงพี่น้ำฝน

ธรรมะคือแสงสว่าง

เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2566 ตรงกับวันลอยกระทง เป็นเทศกาลรื่นเริงของชาวไทยในช่วงปลายปี เมื่อฝนหมดไป ลมหนาวเริ่มโชยมา เราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริงวันลอยกระทง สำหรับปีนี้ก็เริ่มมีผู้รณรงค์กันมากขึ้นว่า ลอยกระทงเนี่ย สร้างขยะเยอะ ไม่ควรลอยในแหล่งน้ำเปิดที่มีกุ้งหอยเต่าปลา มันจะพัดพาไปกลายเป็นขยะ เพราะว่าคนหนึ่งก็กระทงหนึ่งใบ ร้อยคนก็ร้อยใบ ลอยไปก็กลายเป็นขยะ น้ำเน่าเสีย ยากต่อการจัดการ จริง ๆ แล้วเมื่อหลายสิบปีก่อนเขาก็มานั่งถกเถียงกันเรื่องนี้นะ เพราะสมัยนั้นเขาผลิตกระทงโฟม เห็นว่ามันผลิตง่าย ขายง่าย ราคาถูก ไม่เหมือนวัสดุธรรมชาติ พับกระทงใบตอง แต่ว่าโฟมนั้นใช้เวลาย่อยสลายนานมาก เกินชั่วชีวิตคนเรา เขาก็เลยรณรงค์ไม่ให้ใช้โฟม มาจนถึงตอนนี้ คนก็พบว่ากระทงนั้นแม้จะเป็นของธรรมชาติแต่ว่ามันก็เป็นขยะมากหลังเสร็จงาน ก็ถึงกับบอกว่า เลิกลอยกระทงกันเถอะ เลยก็มี หรือถ้าจะลอยก็ขอบ้านละกระทง คู่ละกระทงพอ ไม่ต้องอะไรมาก ลอยในแหล่งน้ำปิด เวลาเจ้าหน้าที่มาเก็บจะได้เก็บง่าย ๆ ไม่กระจายไปเป็นขยะยังที่อื่น

การลอยกระทงนั้นเป็นประเพณีโบราณของไทยที่ทั่วโลกรู้จัก น่าสังเกตว่า การลอยกระทงนั้น เดิมโบราณเรียกว่า ลอยประทีป ประทีปก็คือดวงไฟ โคมไฟ ซึ่งทางเหนือเขาก็มียี่เป็ง คือมีจุดโคม ลอยโคมกัน นี่ยังไม่รวมประเพณีแขกอินเดียที่จัดก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เขาก็จุดเทียนจุดโคมกันมากมาย สว่างไสวไปทั้งเมือง มันก็มีอะไรร่วมกันอยู่ก็คือ แสงสว่าง

ความหมายของการลอยกระทง ก็คือ การจุดธูปเทียน บูชาดอกไม้ ใส่กระทง ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่นับถือกันมากคือ พระพุทธบาทริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที อันเป็นพระพุทธบาทสำคัญหนึ่งในห้าแห่งตามคติโบราณ ในเมื่อเราไปยังแม่น้ำนัมมทาไม่ได้ ที่นั่งอยู่ไกลนัก เราก็นมัสการจากที่ไกล ให้พระแม่คงคารับฝากกระทงดอกไม้ธูปเทียนเรานี้ไปบูชารอยพระพุทธบาทแห่งนั้น หรือถ้าทางเหนือลอยโคม ก็อธิบายได้ว่า เป็นการลอยโคม นำประทีปไปบูชาพระจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งอยู่ไกลโพ้น อันนี้ก็คือความหมายแท้ ๆ เมื่อเราลอยกระทง หรือลอยโคมแล้ว ก็ขอให้ระลึกถึงปูชนียสถานเหล่านี้ อันเป็นยอดแห่งปูชนียสถานทั้งปวง

แสงสว่างคือเครื่องบูชา เพราะแสงสว่างมีค่ายิ่ง ทำให้เรามองเห็นโลก มิว่าจะเป็นแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ แสงดาว หรือแสงไฟ มนุษย์ทั่วโลกจึงใช้แสงไฟบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราจึงจุดเทียนบูชาพระ แม้ว่าสมัยนี้เราจะมีหลอดไฟที่สว่างเสียยิ่งกว่าการจุดเทียนเสียอีก เพราะเรามีความคิดว่า แสงไฟจากเทียนคือเครื่องบูชา และเราก็ถือความหมายว่า พระธรรมนั้นประดุจแสงสว่าง ดังพุทธภาษิตว่า

นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

แสงสว่างเสมอด้วยปัญญานั้นไม่มี

คนมีปัญญาก็คือผู้รู้ธรรม ดังเทียนที่ถูกจุดต่อกัน ธรรมะคือแสงสว่างแห่งปัญญาในการดำเนินชีวิต เป็นแสงสว่างที่จะนำทางเราไปสู่มรรคผล ขจัดความมืด ก็คืออวิชชา สิ่งที่จำเป็นคือเราต้องทำตนให้เป็น “เทียนอย่างดี” ที่จะต่อไฟจากแหล่งพระธรรม ให้เราเป็นเทียนที่ดวงไฟสุกสว่าง และก้าวเดินไปในเส้นทางของมรรคผล นั่นแหละ ดวงไฟได้ถูกจุดแล้ว และเมื่อเราเป็นเทียนที่ถูกจุดให้สว่างแล้ว สิ่งรอบตัวเราก็สว่าง ก็ย่อมได้แสง อวิชชาคือความมืดมิดก็ถูกขจัดทิ้งไปด้วยความสว่างนั้นเอง ผู้ที่มีปัญญารู้ธรรมก็คือผู้ที่มีประโยชน์แก่โลก ใครอยู่ใกล้ก็ย่อมได้แสงสว่าง และถ้าเขาเป็นเทียนอย่างดีแล้ว เขาก็มาจุดไฟต่อจากเรา ให้แสงสว่างขยายออกไปในวงกว้าง เมื่อแสงสว่างถูกจุดขึ้น ก็จะกลายเป็นดวงไฟอันงดงาม อย่างที่เราเห็นในวันลอยกระทง ฉะนั้น เราเคยเห็นกระทงสาย หรือกระทงจำนวนมากในน้ำ มีดวงไฟนับสิบนับร้อยลอยกลางน้ำไหม มันสวยใช่ไหม แล้วเราอยากให้สังคมที่เราอยู่ สวยงามสว่างไสวแบบนี้ไหม ถ้าอยาก เราก็ต้องเป็นเทียนอย่างดีที่จะรอรับดวงไฟอันสว่างไสว พร้อมจะส่องแสง และส่งต่อแสงเทียนไปยังวงกว้าง ให้ที่ที่เราอยู่เต็มไปด้วยแสงสว่าง รอบตัวเราก็สว่างไสว แม้โดยรอบจะมืดมิดเพียงไรก็ตาม

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อาตมายังได้จัดพิธีอาบน้ำเพ็ญ ก็เป็นตำรับของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลตามคติความเชื่อในวันลอยกระทง เพราะนอกจากจะมีลอยกระทงแล้ว ก็ยังมีการอาบน้ำเพ็ญ เป็นการเสริมสิริมงคล ด้วยแสงจันทร์วันเพ็ญเดือนสิบสอง โบราณว่าขลังยิ่ง ถ้าได้ลงน้ำอาบในวันเพ็ญเดือนสิบสองจะเป็นการดี พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลท่านก็นำมาปฏิบัติแก่ญาติโยม มาถึงชั้นอาตมาก็ยังได้ปฏิบัติอยู่ เป็นการสืบสานประเพณีสำหรับผู้มีจิตศรัทธา ก็มีผู้มีจิตศรัทธามาร่วมพิธี อาบน้ำในคืนวันเพ็ญ หนาว ๆ เย็น ๆ กันไปเพราะลมหนาวเริ่มโชยแล้ว แต่ว่าทุกคนก็มาด้วยใจศรัทธาตั้งมั่น คนเรานั้นถ้าใจศรัทธาตั้งมั่นแล้ว สิ่งดีงามที่ปรารถนาก็จะบังเกิด

ก็ขอให้ชีวิตญาติโยมทุกท่านจงสว่างไสวงดงามดุจพระจันทร์วันเพ็ญทุกประการ ขอเจริญพร