ทนายความไวยาวัจกร วัดไผ่ล้อม ไม่ทน ยื่นฟ้องจาตุรงค์ ดูหมิ่นหลวงพี่น้ำฝน

ทนายความไวยาวัจกร วัดไผ่ล้อม ไม่ทน ยื่นฟ้องจาตุรงค์ ดูหมิ่นหลวงพี่น้ำฝน

ทนายเดินหน้าฟ้อง จาตุรงค์ โพสต์ข้อความให้สัมภาษณ์สื่อดัง เข้าข่ายหมิ่นหลวงพี่น้ำฝน โดยฟ้อง ทีวีช่องดัง ผู้บริหาร บรรณาธิการ ซึ่งมี ดาราสาวโดนด้วย รวม 10 คน ทั้งนี้ทนายความบอก หากตรวจสอบพบโพสต์อีกหรือไปสัมภาษณ์สื่อใดแล้วเข้าข่าย พร้อมฟ้องเพิ่มเป็นแต่ละกรรม ซึ่งจะต้องพ่วงสื่อไปด้วยเพราะมีหน้าที่กลั่นกรองไม่ให้มีการกระทำความผิดผ่านหน้าสื่ออีกเป็นการปกป้องพระพุทธศาสนาไม่ให้ถูกคนย่ำยี่

วันที่ 22 สิงหาคม 66 ที่วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ทนายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ไวยาวัจกรวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม เผยว่าวันนี้ตนเองได้เดินทางไปยังศาลจังหวัดนครปฐม เพื่อยื่นเรื่องฟ้องคดีอาญา ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กับ นายจาตุรงค์   จำเลยที่ 1 เจ้าของทีวีช่องดัง กับพวกรวม 10คน จากกรณี การโพสต์ข้อความบนสื่อออนไลน์และการนำเสนอข่าว ออกสื่อโทรทัศน์ รายการดังโดยมีเนื้อหาเป็นการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และการดูหมิ่นพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กรณีการจัดพิธีเปลี่ยนผ้าครองสรีรสังขารหลวงพ่อพูล อดีตเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม


ทนายศุภภัทร์พจน์ เผยว่า สำหรับการฟ้องร้องดำเนินคดีดังกล่าว ที่มีจำเลยมากถึง 10 รายซึ่งรวมไปถึงผู้บริหารสถานีโทรทัศน์และผู้ประกาศข่าวชื่อดัง สืบเนื่องจากจำเลยที่ 1 นายจตุรงค์ เป็นผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กแฟนเพจ เปิดเป็นสาธารณะ มีผู้ติดตาม จำนวน 42,597 คน โดยเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 66 ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กความว่า“อีน้ำฝน?? เอาศพพระมาเปลี่ยนกายให้สตรีลูบเล่น แบบนี้เรียกว่าอนาจารศพรึเปล่าคะ?? ผิดกฎหมายไหมคะ?? ละอายไหมคะ?? ตำรวจพรวยหัวคะ?? จับสึกตัวมึงเองก่อนสิคะ??” เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามและด้อยค่าความเป็นพระและการใช้ถ้อยคำดังกล่าวไม่เหมาะสมและไม่ควรอย่างยิ่งที่ชาวพุทธจะนำมาใช้เรียกชื่อพระภิกษุ และเจ้าตัวก็ได้รับการยกย่องจากสื่อมวลชนว่าเป็นนักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา จึงควรวางตัวให้เหมาะสมกับการยอมรับในสังคม ซึ่งประเด็นมาจากการที่วัดไผ่ล้อมได้มีการจัดพิธีเปลี่ยนผ้าครองสรีระสังขาร หลวงพ่อพูล อดีตเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหามาร่วมในพิธีการซึ่งเป็นการจัดพิธีมายาวนานถึง 18 ปี เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว

ทนายศุภภัทร์พจน์ กล่าวว่า ต่อมาในวันที่ 4 สิงหาคม 66 นายจาตุรงค์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์รายการดังช่องหนึ่ง ซึ่งได้มีการให้สัมภาษณ์ในรายการมีช่วงตอนที่ปรากฏตอนหนึ่งว่า “…อะไรสมควรหรือไม่สมควร อะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม อะไรอุจาดหรือไม่อุจาด คุณแยกแยะไม่ได้จริงๆ เหรอ อันนี้น่าเป็นห่วงนะ ถ้าคนที่แบบเป็นพระสังฆาธิการ เป็นตำรวจพระที่อวดอ้างไว้เนี่ย แล้วได้แค่นี้เนี๊ยะ ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรควรไม่ควรอะไรเหมาะไม่เหมาะ ผมว่าน่าปวดหัว ยิ่งให้สีกาไปลูบไปคลำศพพระเนี่ย บางทีต้องมานั่งดูข้อกฎหมายเหมือนกันนะว่า เอ๊ะ เข้าข่ายอนาจารศพหรือเปล่า เอาศพมานุ่งผ้าน้อยชิ้น ไม่เอาใส่จีวรให้เรียบร้อยด้วยนะ มันละเมิดกฎหมายเกี่ยวกับศพหรือเปล่า รวมไปถึงเราต้องดูมั้ยว่าเนี่ย มันไปละเมิดกฎหมายเกี่ยวกับ ผมไม่รู้ว่าจะใช้คำว่าอะไรดีอ่ะ ผมไม่รู้ว่าทายาท ใครเป็นทายาทหลวงพ่อพูลอ่ะน่ะ แล้วเขาแฮปปี้มั้ยที่ศพบรรพบุรุษเค้ามาถูกปู้ยี้ปู้ยำแบบนี้หรือเปล่า เค้าแฮปปี้มั้ย ตัวน้ำฝนเองก็คงไม่อยากให้เอาศพพ่อแม่ตัวเองมาอยู่สภาพนี้หรือเปล่า คือต้องถามตัวน้ำฝนอ่ะ คือถ้าน้ำฝนคิดว่าน้ำฝนไม่ติดใจอะไร ก็เอาศพพ่อศพแม่น้ำฝนนะครับ มาทำแบบนี้ได้เลย…” ตรงนี้เป็นการกระทำเหมือนเดิมอีก ซึ่งการที่ต้องฟ้องร้องสื่อมวลชน    รวมถึงผู้บริหารและบรรณาธิการด้วย เพื่อให้เกิดการทบทวนว่าเหมาะสมหรือไม่ที่จะมีการไปสัมภาษณ์ให้บุคคล มีพฤติกรรมดังกล่าวกระทำเช่นเดิมผ่านสื่อที่ประชาชนติดตามชมเป็นจำนวนมาก

ทนายศุภภัทร์พจน์ กล่าวอีกว่า ต่อมาพฤติกรรมของนายจาตุรงค์ ยังเกิดขึ้นอีกในวันที่ 12 สิงหาคม 66 ซึ่งเป็นการใช้สื่อเฟซบุ๊ก แอคเคาท์เดิมโดยมีการใช้ข้อความว่า “…เป็นแค่ชั้นประทวนต๊อกต๋อย ไม่ได้เป็นสัญญาบัตรด้วยซ้ำ แล้วทำไมถึงยอมรับความจริงไม่ได้ #ไอ้ฝน…” และข้อความว่า “…มีคนถามว่ารู้สึกผิดไหมที่ตำหนิไอ้ฝนว่าต๊อกต๋อย???? ไม่เลยครับเพราะว่ารายการในวันนั้นหลวงพ่อพยอมได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นเจ้าคุณฯ ชั้นราช แต่ไอ้ฝนเป็นพระที่ต่ำกว่าพระพยอมมากทั้งพรรษากาล ทั้งยศทั้งการศึกษา แถมไอ้ฝนยังเป็นแค่พระฐานาหม้ายไม่ได้เป็นแม้กระทั่งพระครูสัญญาบัตร ทำไมถึงไม่ยอมรับความจริงในข้อนี้
อนึ่ง…พระที่จตุรงค์คบหากราบไหว้ล้วนแต่เป็นพระสัญญาบัตร/หิรัญบัฏ/สุพรรณบัฏ เทียบกับคนอย่างฝนจึงถือได้ว่าไอ้ฝนยังต่ำและต๊อกต๋อย ยังต้องขัดเกลากมลสันดานอีกมาก เมื่อเทียบกับพระผู้ใหญ่รูปอื่นๆ…”
ซึ่งเป็นการกระทำการพาดพิงให้ร้าย หมิ่นประมาทด้วยถ้อยคำเท็จหยาบคาย กับพระสงฆ์อย่างรุนแรงและทำให้เกิดความเสียหายโดยย่ำยี เหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด

ทนายศุภภัทร์พจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีนี้เคยมีการฟ้องร้องไปก่อนหน้าแล้ว แต่ก็มาพบว่านายจาตุรงค์ ได้มีการโพสต์ข้อความบนสื่อออนไลน์และให้สัมภาษณ์กับสื่อโทรทัศน์ ดูแล้วไม่ได้เป็นการวิจารณ์ที่สังคมไม่ได้ประโยชน์อะไรและมีหลายข้อความในการดูหมิ่นและหมิ่นประมาทอีก นำมาซึ่งการฟ้องในวันนี้ และการให้สัมภาษณ์ทางสื่อทีวี ซึ่งผู้บริหาร ผู้ประกาศและบรรณาธิการต้องตรวจสอบในเรื่องของการให้ข่าวที่บิดเบือน ข่าวที่หมิ่นประมาท ซึ่งต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วยและในส่วนของบริษัทผู้ผลิตรายการ ซึ่งกรรมการผู้มีอำนาจต้องควบคุมต้องทำหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมจึงต้องมีการฟ้องร้องร่วมไปด้วยทำให้มีผู้ที่ต้องฟ้องร้องถึง 10 ราย

“ทำไมจึงต้องฟ้องนายจาตุรงค์ ซึ่งดูจากเฟซบุ๊กแล้ว เห็นเนื้อหาแล้วมีการเช๊คอินมาที่วัดไผ่ล้อมด้วย ซึ่งเนื้อหาติเพื่อก่อหรือไม่ หากทำเพื่อก่อเรารับฟังซึ่งหลวงพี่น้ำฝนก็รับฟัง แต่เนื้อหาเป็นการดูหมิ่นถึงหลวงพี่น้ำฝนชัดเจน สังคมโดยรวมได้อะไรประชาชนลองพิจารณาดู และยังมีการให้ข้อมูลว่าหากพระสงฆ์ฟ้องร้องจะต้องอาบัติซึ่งสิ่งที่ทำวันนี้คือการปกป้องสิทธิ์ ซึ่งภาษาที่พูดกับโพสต์ออกมาใช้กับประชาชนก็ยังไม่ได้ และเป็นการฟ้องครั้งที่ 2 ต่อโทษจากคดีที่แล้วด้วย ซึ่งหากกระทำอีกก็จะฟ้องร้องอีกเป็นแต่ละกรรมกันไป และบางคนใช้คำว่านักวิชาการทางด้านพระพุทธศาสนา ใครเป็นคนแต่งตั้งให้ ใช้วุฒิการศึกษาอะไร ก็ขอฝากถามด้วย” ทนายศุภภัทร์พจน์ กล่าว

ทนายศุภภัทร์พจน์ กล่าวว่า การกระทำของนายจาตุรงค์ เป็นการกระทำต่อเนื่องจากที่เคยไปออกรายการดังช่องหนึ่งแล้วซึ่งยังมีการให้สัมภาษณ์ใน ทีวีช่องดังอีกช่อง เพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งหากพบว่ามีการไปโพสต์หรือให้สัมภาษณ์กับรายการใดหรือหากตรวจสอบพบอีกหากเข้าข่ายในการหมิ่นประมาทก็จะทำการฟ้องร้องอีก ส่วนคนที่มาคอมเม้นท์ คนที่มาประจำหรือเจ้าประจำก็จะมีการฟ้องร้องเพิ่มเติม ส่วนประชาชนที่ยังไม่ทราบยังไม้เข้าใจหลวงพี่น้ำฝน ท่านก็ได้ให้แนวทางว่าอยากจะให้เกิดการรับรู้ที่ถูกต้อง แต่ก็ไม่เข้าใจว่านายจาตุรงค์ต้องการอะไรและทำไปเพื่ออะไร และอยากให้สื่อมวลชนเข้าในใจว่า ในการนำเสนอข่าวหรือข้อมูลจะต้องตรวจสอบว่าเป็นการนำเสนอที่เข้าข่ายในการหมิ่นประมาทหรือไม่ด้วย และหลวงพี่น้ำฝนเองก็ไม่เคยใช้สื่อออนไลน์ในการโพสต์ตำหนิพระหรือประชาชน แต่ท่านก็ใช้ในการให้สติให้กระทำความดีเท่านั้น

ทนายศุภภัทร์พจน์ กล่าวปิดท้ายว่า สำหรับคดีที่ได้ฟ้องนายไพรวัลย์ (แพรรี่) กับนายจาตุรงค์ พร้อมกับสื่อและพิธีกรดังก่อนหน้าในคดีหมิ่นประมาทเหมือนกัน ศาลจังหวัดนนครปฐม ได้นัดไกล่เกลี่ยวันที่ 14 กันยายนนี้ และนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 25 กันยายน โดยมีบางคนที่รู้เท่าไม่ถึงการได้เข้าติดต่อมาเพื่อเจรจากันแล้ว แต่ก็ขอให้อยู่ในชั้นต่อไป ซึ่งการฟ้องร้องไม่ใช่แค่ปกป้องสิทธิ์ของหลวงพี่น้ำฝน แต่ยังปกป้องพระสงฆ์ และพระพุทธศาสนาไม่ให้ใครมาย่ำยีได้อีก