วันที่ 25 พ.ย. 2565 ที่ กก.สส.ภ.จว.สุพรรณบุรี ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมืองสุพรรณบุรี จ.สุพรรณบุรี
พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 พร้อมด้วย พล.ต.ต.วรายุทธ สุขวัฒน์ รอง ผบช.ภ.7 นายปรีชา ทองคำ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี นายทัศน์พงษ์ วัฒนายากร
ผอ.สำนักงาน ปปส.ภ.7 พ.ต.อ.เชิดศักดิ์ เฉลียวศิลป์ รอง ผบก.ภ.จว.สุพรรณบุรี พ.ต.อ.ธนเดช ตันติอาภา รอง ผบก.ภ.จว.สุพรรณบุรี พ.ต.อ.อภิชิต สุรพินิจ รอง ผบก.สส.ภ.7
พ.ต.อ.พีระ อัศวพิบูลย์ผล ผกก.สส.ภ.จว.สุพรรณบุรี พ.ต.อ.ธัชชัย ทิพย์เนตร ผกก.สภ.เมืองสุพรรณบุรี พ.อ.ผ่านศึก อนันตพงษ์ รอง ผอ.กอ.รมน.จังหวัดสุพรรณบุรี พ.ต.อ.มงคล สุนทรวิภาต นวท.(สบ.4) พฐ.จว.สุพรรณบุรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย ได้แก่1.นางสาวพลอย อายุ 22 ปี2.นายโจ้ อายุ 25 ปี โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ในลักษณะเป็นการกระทำเพื่อการค้า เป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป, จำหน่ายโดยมีไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 (เคตามีน) ในลักษณะเป็นการกระทำเพื่อการค้า เป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป และเสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย”
พร้อมด้วยของกลาง ได้แก่
1.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) รวมจำนวน 110,400 เม็ด
2.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2 (เคตามีน) รวมน้ำหนักชั่งรวมถุง (เคตามีน) ประมาณ 93.74 กรัม
3.ถุงแบ่งพลาสติกสีใสชนิดเปิด-ปิดปากถุงในตัว จำนวน 141 ถุง
4.โทรศัพท์มือถือ ไอโฟน 11 สีดำ จำนวน 1 เครื่อง
5.โทรศัพท์มือถือ ไอโฟน 11 สีขาว จำนวน 1 เครื่อง
6.โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ VIVO สีดำรุ่น V2026 จำนวน 1 เครื่อง
จากนั้นขยายผลจับกุมผู้ต้องหาในเครือข่ายยาเสพติด เพิ่มเติม ได้แก่
3. นายเพชร อายุ 28 ปี
โดยกล่าวหาว่า “จำหน่ายโดยมีไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาบ้า,ยาไอซ์,เฮโรอีน,ยาอี) ในลักษณะเป็นการกระทำเพื่อการค้า เป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป และจำหน่ายโดยมีไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 (เคตามีน,ไนเมตาซีแพม) ในลักษณะเป็นการกระทำเพื่อการค้า เป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปและเสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน”
พร้อมด้วยของกลาง ได้แก่
1.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) รวมจำนวน 174,000 เม็ด
2.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) จำนวน ๑๒ กิโลกรัม
3.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2 (เคตามีน) จำนวน 5 ถุง ทั้งหมด 509.6 กรัม
4.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2 (เคตามีน) จำนวน 5 ถุง รวมน้ำหนัก 334.9 กรัม
5.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) จำนวน 4 ถุง รวมน้ำหนัก เฮโรอีน ทั้งหมด 310.2 กรัม
6.ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาอี) จำนวน 13 เม็ด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีใสชนิดเปิด-ปิดได้ จำนวน 1 ถุง
7.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2 (ไนเมตาซีแพม) ยี่ห้อ Erimin 5 จำนวน 30 แผง รวมจำนวน 300 เม็ด
8.เครื่องชั่งน้ำหนักดิจิตอล จำนวน 1 เครื่อง
9.ถุงแบ่ง ถุงพลาสติกสีใสชนิดเปิด-ปิดได้ จำนวน 48 ถุง
10.ลังพลาสติกสีน้ำเงิน จำนวน 2 ใบ (บรรจุยาบ้า)
11.โทรศัพท์มือถือ VIVO สีฟ้า จำนวน 1 เครื่อง
12.อาวุธปืนลูกโม่ ยี่ห้อ COLT ขนาด .38 สเปเชียล สีเงิน จำนวน 1 กระบอก
13.เครื่องกระสุนปืน ขนาด .38 สเปเชียล จำนวน 6 นัด
พฤติการณ์ในคดี
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับ ว่าจะมีการส่งมอบยาเสพติดให้โทษ โดยผู้ที่จะมาส่งยาเสพติดโดยใช้รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อซูซูกิ รุ่นสวิป สีแดง หมายเลขทะเบียน กน 3014 สุพรรณบุรี บริเวณริมถนนทะเลบก-ด่านช้าง หมู่ 2 ต.ทะเลบก อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและติดตามพฤติกรรมและหาวิธีการในการจับกุม
ต่อมาวันที่ 23 พ.ย.65 เวลาประมาณ 22.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้ซุ่มรออยู่บริเวณที่เกิดเหตุ จากนั้น รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อซูซูกิ รุ่นสวิป สีแดง หมายเลขทะเบียน กน 3014 สุพรรณบุรี ได้ขับมายังจุดเกิดเหตุ(จุดนัดส่งยาเสพติด) เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเข้าตรวจค้นรถคันดังกล่าว พบ นายโจ้ (เป็นผู้ขับขี่) และนางสาวพลอย (โดยสารมาด้วย) ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมรู้จักตัวเป็นอย่างดี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แสดงตนขอทำการตรวจค้นตัว ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ยินยอมเปิดประตูรถให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นปรากฏว่าพบยาบ้า 400 เม็ด จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง จากนั้นได้สอบถามนางสาวพลอย ให้การว่าได้ซุกซ่อนยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2 (เคตามีน) ไว้ที่บ้านเช่าซึ่งเป็นบ้านที่ นางสาวพลอยผู้ต้องหาใช้พักอาศัยและหลับนอน จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย มาทำการตรวจค้นบริเวณบ้านพักดังกล่าว โดยผู้ต้องหาทั้ง 2 รายยินยอมนำตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบของกลาง โดยผู้ต้องหารับว่ายาเสพติดทั้งหมดเป็นของตนเองจริง จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง และจับกุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทำการบันทึกจับกุมตัว ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ดอนเจดีย์ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมสืบสวนขยายผล และได้รับแจ้งจากสายลับว่าห้องเช่าเลขที่ 25/8 เป็นสถานที่เก็บรักษายาเสพติดและสถานที่ใช้มั่วสุมจำหน่ายยายาเสพติดของเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มดังกล่าว ซึ่งได้เฝ้าติดตามพฤติกรรม และรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและหาวิธีการในการจับกุม
ต่อมาวันที่ 24 พ.ย.65 เวลาประมาณ 18.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้เฝ้าสังเกตการณ์บริเวณที่เกิดเหตุ ได้พบนายเพชรฯ อยู่บริเวณหน้าห้องเช่าดังกล่าว จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อนายเพชรฯพบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แสดงท่าทีมีพิรุธ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงขอทำการตรวจค้น นายเพชรฯยินยอมและให้ความร่วมมือนำพาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมตรวจห้องเช่าดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบของกลางวางอยู่ภายในห้องพักดังกล่าว นายเพชรฯ รับว่ายาเสพติดทั้งหมดเป็นของตนเองจริง จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุพรรณบุรีเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้สั่งการให้มีการสืบสวนขยายผลถึงผู้ที่มีส่วยเกี่ยวข้องและทำการสืบทรัพย์เพื่อดำเนินการตาม มาตรการในการปราบปรามผู้กระทาความผิด เกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 ต่อไป โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องรวบรวมพยานหลักฐานในคดีให้รอบคอบ เพื่อให้สามารถดำเนินคดีลงโทษผู้กระทำผิดและขยายผลจับกุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้จนถึงที่สุด ตามคติที่ว่า “คนดีต้องอยู่เย็นเป็นสุข คนร้ายต้องอยู่ร้อนนอนทุกข์”
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้มอบเงินจำนวน 10,000 บาท ให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงาน และกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายให้ทำงานโดยยึดหลักกฎหมายและรอบคอบตามหลักยุทธวิธีตำรวจที่ได้ฝึกทบทวนมาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียแก่ครอบครัวพี่น้องข้าราชการตำรวจ ตามที่ ผบ.ตร. ได้ฝากข้อห่วงใย
ในนามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและตำรวจภูธรภาค 7 ได้ฝากถึงประชาชนว่าตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ และขอชมเชยเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ได้ทำงานด้วยความวิริยะ อุตสาหะ เสียสละ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้สังคมส่วนรวม และขอให้รักษาความดีนี้ไว้สืบต่อไป