ไอ้ผัวเ-ี้ยหลอกเมียไปเที่ยว
พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน ก่อนจะเริ่มกล่าวความต่าง ๆ ในฉบับนี้ อาตมาขอเล่าข่าวสารงานบุญที่ได้ทำมาเสียก่อน โดยเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา วัดไผ่ล้อมโดยกองทุนหลวงพ่อพูล ซึ่งมีอาตมาเป็นประธานกองทุน ได้สนับสนุนกิจกรรมให้แก่เรือนจำกลางจังหวัดนครปฐม เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือผู้ต้องขัง
พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ประธานกองทุนหลวงพ่อพูล และศิษย์ เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมได้ให้การสนับสนุนดังนี้
- ชุดตรวจ ATK จำนวน 1,100 ชุด
- เวทีมวยพร้อมอุปกรณ์กีฬา
- ห้องตรวจโรค ห้องเวชทะเบียน พร้อมเครื่องปรับอากาศ จำนวน 3 เครื่อง
- ห้องควบคุมและตรวจรักษาผู้ต้องขังป่วย ณ โรงพยาบาลนครปฐม
นอกจากนี้ ยังมีชุดเครื่องเสียง เป็นไมโครโฟนจากเพชรสยามซาวด์กรุ๊ป โดยคุณโยมย้ง ประสิทธิ์-อติภา เบญจวาณิชย์ มาร่วมกองบุญในครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ต้องขังในเรือนจำ ผู้ต้องขังทั้งหลายนั้น แม้จะได้ชื่อว่าผู้ต้องขัง แต่ก็เป็นมนุษย์ซึ่งควรได้รับคุณภาพชีวิตที่เหมาะสม ไม่ควรที่จะละเลยปล่อยคนกลุ่มนี้ไว้ข้างหลัง หากส่งเสริมในทางที่ดีแล้ว เรือนจำนี่แหละจะเป็นเรือนเพาะชำชีวิตใหม่หลังพ้นประตูคุก ให้ได้มีอาชีพ มีการงาน มีสิ่งที่ใช่ในชีวิต ไม่เดินทางกลับไปยังทางที่ผิดอีกต่อไป ก็สมกับที่อาตมาได้ตั้งปณิธานไว้คราวจัดสร้างรูปพระองคุลีมาลเถระ อาตมาก็ขออนุโมทนาแก่ทุกท่านที่ได้ร่วมกองบุญกองทุนหลวงพ่อพูลมา ณ ที่นี้ บัดนี้ปัจจัยใส่สตางค์ของท่านที่ได้จบบูชา ได้นำไปเป็นประโยชน์แก่สาธารณชนแล้ว
มาเข้าเรื่องกันบ้าง หัวเรื่องวันนี้ดูน่ากลัว เหมือนตัวอักษรที่มีเสียง แต่ก็นั่นแหละ อันว่าความซื่อสัตย์นั้น เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับชีวิตคู่ ถ้าขาดความซื่อสัตย์เป็นเบื้องต้นแล้ว ปัญหานานัปการอาจเกิดขึ้นได้ แม้จะยังไม่เกิดแต่ก็ต้องเกิดสักวันหนึ่ง ขึ้นกับว่าจะถึงคราวเมื่อใดก็ตาม
ลูกศิษย์อาตมาคนหนึ่ง มีเมียอยู่ด้วยกัน แต่อาตมาทราบพฤติกรรมแปลก ๆ อยู่อย่างหนึ่ง
คือ เวลาตีสอง ผัวบอกเมียว่า หิว อยากไปกินข้าวต้ม จะหาข้าวต้มรอบดึกกิน
ตีสองนี่ไม่ใช่ปัญหาอะไร ข้าวต้มโต้รุ่งเปิดกันเต็มเลย เมืองไทยนี้ดี หิวเมื่อไรก็มีของให้กิน
แต่ปัญหาคือ จุดหมายปลายทางจริง ๆ ไม่ใช่ร้านข้าวต้ม แต่เป็นการไปเที่ยวกลางคืน แล้วทำแบบนี้หลาย ๆ รอบ
อาตมาเลยบอกฝ่ายผัวว่า แบบนี้ไม่ดี เห็นแก่ตัวเห็นแก่สุขส่วนตัวเกินไป
อยากจะหาความสนุกส่วนตัว แต่ว่าไม่กลัวเมียเป็นห่วงหรือ
ไอ้ลำพังการไปเที่ยวกลางคืนเนี่ย มันก็เป็นเรื่องที่อันตรายในตัวอยู่แล้ว เพราะมันเป็นที่อโคจร ขึ้นชื่อว่าที่อโคจร มันมีอันตรายรอบด้าน ไหนจะคนตีกัน ไหนจะเหล้ายาเข้าปาก ไปไหนก็ไม่ปลอดภัยอีก แล้วแบบนี้เมียไม่เป็นห่วงหรือ ถ้าเมียเกิดรู้ความจริงขึ้นมาว่า ที่จริงไปกินข้าวต้มในที่ที่ไม่ใช่ร้านข้าวต้ม เมียจะด่าว่า ไอ้ผัวเ-ี้ย ไหม มาหลอกเมียเพื่อไปเที่ยว
ลองคิดดูว่า ถ้าเมียทำแบบนี้บ้าง บอกว่าผัวขา หนูหิว หนูอยากกินข้าวต้มตอนตีสอง ตนเองจะรู้สึกอย่างไร เชื่อเถอะว่าตนเองก็ย่อมไม่ชอบใจ
คนเรานะ อยู่ด้วยกันแล้วต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา จะทำอะไรก็ตาม ถ้ายังมีความลังเลสงสัยว่ามันเหมาะมันควร มันถูกมันผิดหรือไม่อย่างไร ก็ให้ลองคิดเอาง่าย ๆ ว่า ถ้าหากว่าคนอื่นทำสิ่งเดียวกันกับที่เราทำ เราจะรู้สึกอย่างไร หรือว่ามีปฏิกิริยาอย่างไร ของบางอย่างเราทำโดยไม่คิดหรอกว่าคนอื่นเขาจะคิดอย่างไรจนกว่าจะมาโดนกับตนเอง พอโดนกับตัวเองนี่จะเป็นจะตาย อันนี้แหละต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา
อยู่ด้วยกันเป็นคู่ คู่ผัวตัวเมียหรือว่าในสภาพใด ๆ ก็ตาม มันต้องมีสิ่งต่าง ๆ ทั้งสี่ข้อนี้ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ
สัจจะ เป็นข้อแรกเลย สำคัญที่สุด สัจจะคือคำเดียวกับคำว่าสัตย์ คือความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่คิดคดโกหกหลอกลวงกัน ถ้าข้อนี้ทำไม่ได้ ชีวิตคู่ล่มตั้งแต่ยังไม่เริ่มทีเดียว ถ้าอยู่ด้วยกันภายใต้การหลอกลวง ใส่หน้ากากหากัน ก็จบเห่ บอกว่าจะไปกินข้าวต้มแต่ว่าจริง ๆ คือไปเที่ยวกลางคืน อันนี้ไม่ได้ ถือว่าสัจจะหายไป ปัญหาจะเกิดได้เพราะแบบนี้ สัจจะเป็นเครื่องทำให้ผู้คนเคารพนับถือ ไม่ใช่แค่คนรักของตนเอง แต่ผู้อื่นรอบตัวก็เช่นกัน
ทมะ คือ การฝึกตน ข่มจิตข่มใจ คนเรามาอยู่ด้วยกันเป็นคู่รักกัน มันก็คือร้อยพ่อพันแม่มาเจอกัน อยู่ด้วยกันแรก ๆ ก็ไม่เท่าไร แต่พอมาอยู่ด้วยกันธาตุแท้มันเผย อะไรบางอย่างที่เราไม่ดี เราต้องปรับปรุง ปรับตัว เราก็ต้องทำ แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา เอาง่าย ๆ ใครเป็นคนซกมก น้ำท่าไม่อาบห้องไม่เก็บกวาด แต่พอมีคู่มาอยู่ด้วยแล้ว จะทำเช่นนั้นไม่ได้ดว้นเสียแต่คู่เราจะซกมกเหมือนกัน ขี้เกียจก็ต้องปรับปรุงตัว
ขันติ คือ ความอดทน การมาอยู่ด้วยกัน มันก็เหมือนลิ้นกับฟัน มันอยู่ด้วยกันแล้วมันก็มาโดนกันอยู่ตลอด ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่เคยกัดลิ้นตนเอง จริงไหม บางทีมันก็ต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ต้องอดทนอดกลั้น บางทีชีวิตก็ต้องยากลำบาก การงานไม่เป็นใจ ต้องอดมื้อกินมื้อ ก็ต้องอดทน
จาคะ คือ การให้ การเสียสละ แบ่งปันความสุขร่วมกันระหว่างคู่ชีวิตของเรา อย่าอยู่ด้วยกันด้วยความตระหนี่ หรือที่เรียกว่าใจไม่สปอร์ตอย่างนั้นแหละ
ต้องมีสี่ข้อ ชีวิตคู่จึงจะไปรอด อันนี้อาตมาก็ขอฝากไว้ ไม่ใช่แค่กับเรื่องคู่นะ แต่กับทุกคนที่จะมีคู่หรือไม่มีก็ตาม ก็นำไปปรับใช้กันได้ ความข้อนี้อาตมามิได้คิดเอง แต่เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนไว้นานแล้ว และก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทันสมัยเหนือกาลเวลา เพราะพระพุทธเจ้าเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ทุกรูปนาม อาตมาหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นข้อคิดให้กับทุกคน ขอเจริญพร