17 ปี หลวงพ่อพูล ความกตัญญูกตเวทีมิจางหาย
เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน เมื่อ “จุดไฟในใจคน” ถึงมือผู้อ่าน ก็เป็นวาระสําคัญของทางวัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม เนื่องจากเป็นวาระครบรอบ 17 ปี การละสังขารของพระเดชพระคุณพระมงคลสิทธิการ หรือพระ เดชพระคุณหลวงพ่อพูล อตฺตรกโข พระอมตะเถราจารย์ผู้ทรง คุณวิเศษแห่งเมืองนครปฐม พระมหาเถระผู้เป็นที่ยกย่องนับถือ ทั้งจากชาวนครปฐมและในที่อื่น ๆ และที่สําคัญที่สุด คือ เป็นบิดาทางธรรมของอาตมาเอง
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลท่านเป็นพระมน นับถือมาก แม้ท่านจะเป็นคนพูดน้อย แต่ก็เพราะคุณธรรมในเรื่อง ความเมตตาของท่านนั่นแหละที่แผ่ไปในทุกทิศ จนเป็นที่ยอมรับ โดยทั่วกัน ความเมตตาของท่านนี้ไม่มีกําแพงฐานะ ชนชั้น ทุกคน ย่อมได้รับความเมตตาจากท่านเสมอกัน เพียงแค่เรียนท่าน ขอท่าน จะเป็นแม่ค้าธรรมดาท่านก็เมตตาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทุกคนล้วนเท่าเทียมกันในสายตาของหลวงพ่อจนได้ชื่อว่า พระผู้ เมตตากับพ่อค้าแม่ค้า
แม้ท่านจะมีคุณวิเศษ มีวัตถุมงคลมากมายจนทุกวันนี้ก็ยัง เป็นที่ต้องการของนักสะสม แต่ท่านจะสอนกํากับไว้เสมอว่า นี่ ไม่ใช่ของไว้ให้งมงาย เป็นที่ระลึก ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ หากจะเกิด ปาฏิหาริย์แล้วไซร้ นั่นมาจากจิตศรัทธาของท่านเอง นอกจากนี้ สิ่งที่อาตมาพูดเสมอว่า ให้ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน รู้คุณคน ก็เป็นสิ่ง ที่ท่านถ่ายทอดมาตลอด และด้วยเหตุนี้เองที่หลวงพ่อนั้นท่านรัก หนุมานมากที่สุด เพราะหนุมานมีคุณสมบัติครบทั้งสี่ประการ แล้ว ก็เป็นวัตถุมงคลชิ้นเอกของหลวงพ่อมาจนถึงทุกวันนี้
คุณวิเศษของท่านนั้นยังมีอีกมากมายกล่าวได้ไม่หมด โดย เฉพาะอย่างยิ่งตัวอาตมาเองซึ่งก็เป็นผู้ติดสอยห้อยตามท่านมาแต่ ยังบวชใหม่ ๆ เป็นพระน้ําฝน จนกระทั่งมาเป็นศิษย์ใกล้ชิดที่ได้ รับความวางใจจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อให้กระทําการสําคัญ ต่าง ๆ ตามที่หลวงพ่อมอบหมายมาหลายสิ่งที่หลวงพ่อให้อาตมา ไปกระทํา ชนิดที่อาจจะเรียกว่า หลวงพ่อปล่อยบินเดี่ยวก็ได้ อาตมาในฐานะพระเล็ก ๆ อาตมาเองก็มีความหวั่นอยู่ในใจ แต่ หลวงพ่อจะให้กําลังใจอาตมาเสมอ ให้อาตมามั่นใจในการกระทํา เมื่อครูบาอาจารย์พูดแบบนั้น อาตมาก็ใจสู้ขึ้นมา จนแม้หลวงพ่อ ท่านจากไปแล้ว เสียงของหลวงพ่อก็ยังคงอยู่ในหัวอาตมาตลอด หลวงพ่อยังคงอยู่กับอาตมาเสมอ
จากวันนั้น วันที่หลวงพ่อจากไปในวันวิสาขบูชา ปีพุทธศักราช 2548 จากไปพร้อมกับหน้าที่ตามปกติของท่าน คือ การเจริญจิต ภาวนา แม้เวลานั้นท่านจะอยู่บนเตียงผู้ป่วย และวันนั้นก็เป็นวัน ไหว้ครูประจําปี ซึ่งจัดขึ้นทุกวันวิสาขบูชา ท่านนับว่าได้มรณภาพ ในวันสําคัญยิ่งนี้ หลังจากนั้น ผู้คนหลั่งไหลกันมาสักการะหลวงพ่อไม่ขาดสาย และ เมื่อถึงคราวเปิดหีบบรรจุ ร่างหลวงพ่อ ก็พบความ อัศจรรย์ที่ร่างหลวงพ่อนั้น ไม่เน่าไม่เปื่อยผิดกับร่าง คนทั่วไป ยังคล้ายคนนอน หลับอยู่ จึงได้เชิญออกมา แล้วบรรจุในโลงแก้วให้ สาธุชนได้บูชาสักการะต่อ ไป จนบัดนี้ก็ 17 ปีแล้ว สรีระสังขารของท่านก็ยัง คงอยู่ในสภาพเดิม เพิ่ม เติมคือมีสีออกไปทางทอง เป็นที่อัศจรรย์ ที่กล่าวเช่น นี้ได้เพราะทุกปี จะทําการ เปลี่ยนผ้าครอง ไตรจีวร แก่สรีระสังขารหลวงพ่อ ประหนึ่งท่านยังมีชีวิตอยู่ เมื่อนําสรีระ สังขารท่านมาทําความสะอาด ก็พบความเปลี่ยนแปลงอันน่า อัศจรรย์ดังกล่าว
วันนี้ สรีระสังขารของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล ประดิษฐานอยู่ในศาลาทองคํา ด้านข้างวิหารพระพุทธเมตตา อยู่ในโลงแก้วซึ่งมีรูปเหมือนพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลนั่งถือโลง แก้วนั้นอยู่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อนั้นนั่งอยู่บนหนุมานขนาด ใหญ่ เป็นไปตามนิมิตที่ได้เห็น อาตมาก็นํามาทําเป็นความจริง หลวงพ่อนั่งบนหนุมาน หนุมานคือตัวแทนแห่งความกตัญญู เป็นตัวแทน แห่งความขยัน ซื่อสัตย์ อดทน รู้คุณคน หนุมานเป็นเช่นนั้น แท้จริง แล้วศาลาหลังนี้ก็คือศาลาดั้งเดิมเลย ที่ตั้งสรีระสังขารของ หลวงพ่อ นับตั้งแต่ปี 2548 แต่ด้วยแรงศรัทธาสาธุชน ศาลานี้ก็ได้กลายเป็น ศาลาทองคํา ประดับกระเบื้องโมเสกทอง ประดิษฐานรูปเหมือน และโลงแก้ว ด้านหลังมีภาพประติมากรรมนูนต่ําเทพชุมนุม ให้ ความรู้สึกดุจอยู่ในวิมานสวรรค์ อันมีเทพเจ้าและครูบาอาจารย์ ประทับอยู่ เป็นสิริมงคลแก่ผู้เข้ามาเยือน มากราบไหว้ทุกคน และ ในอนาคตจะมีพระพุทธรูปทองคําแท้ปางเปิดโลก ประดิษฐานใน มณฑปเบื้องบนของหลวงพ่อ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการจัดสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จเร็ว ๆ นี้
ในปี 2565 พิธีเปลี่ยนผ้าครองสรีระสังขารพระเดชพระคุณ หลวงพ่อพูล และลงกระหม่อม ในวันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เป็นวาระประจําปีอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งศิษยานุศิษย์ทั้งหลายจะ ได้มารวมตัวกันแสดงกตัญญูกตเวที กระทําอย่างครั้งพระเดช พระคุณหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ก่อนที่ในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2565 จะจัดพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ครอบครู เศียรท้าวเวสสุวรรณ ตามอย่างที่พระเดชพระคุณหลวง พ่อได้ปฏิบัติมา
นับว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ ตั้งอยู่บนความกตัญญูกตเวที คือ รู้ ในพระคุณ และทําการตอบแทนพระคุณ ไม่ว่าจะขณะท่านยังมี ชีวิตอยู่ หรือเมื่อท่านได้จากไปแล้ว ภาษิตว่า ความกตัญญูเป็น เครื่องหมายของคนดี หากเราอยากเป็นคนดี สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือ ความกตัญญูรู้คุณคน จะนําไปสู่ความเจริญ เพราะเราถือว่า ยังมี บุคคลจํานวนมากที่ทําให้เราประสบความสําเร็จ เป็นคนมาหนึ่งคน นี้ได้ คนเหล่านี้เป็นผู้มีพระคุณแก่เรา และเมื่อมีพระคุณแล้ว เรา ก็พึงแสดงการตอบแทนพระคุณท่านอันเป็นสิ่งน่าสรรเสริญ เป็น คุณธรรมที่เราควรจะมีในหัวใจเราทุกคน