สมุทรปราการ บช.ทท.แถลงการจับกุมขบวนการ SCAMMER อ้างพาไปทำงานต่างประเทศ

สมุทรปราการ   บช.ทท.แถลงการจับกุมขบวนการ SCAMMER อ้างพาไปทำงานต่างประเทศ
*****บช.ทท.แถลงการจับกุมขบวนการ SCAMMER อ้างพาไปทำงานต่างประเทศ และจับกุม ROMANCE SCAM หลอกโอนเงินไปต่างประเทศ พร้อมแจ้ง ประชาสัมพันธ์ ข้อมูลความผิดปกติโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3”

***** เมื่อเวลา 14.00น.วันที่ 18 พ.ย.2564ที่ สถานีดับเพลิง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย รองผบช.ทท. พล.ต.ต อภิชาติ สุริบุญญา รอง ผบช.ทท. พล.ต.ต.ธวัช ปิ่นประยงค์ ผบก.ทท.1 พล.ต.ต.กฤษณ์ วาฤทธิ์ ผบก.ทท.3 ร่วมกันแถลงผล -การจับกุม ขบวนการ Scammer อ้างพาไปทำงานต่างประเทศ -การจับกุม Romance Scam แสร้งรักออนไลน์หลอกโอนเงินค่าพัสดุจากต่างประเทศ -การแจ้งประชาสัมพันธ์ ข้อมูลความผิดปกติโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3


*****คดีที่ 1 จับกุม ขบวนการ Scammer อ้างพาไปทำงานต่างประเทศ จับกุมผู้ต้องหา จำนวน 2 ราย คือ น.ส.มัตติกา รักขพันธ์ อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 506/2564 ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2564 นายหัสดี สมหวัง อายุ 46 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 507/2564 ลง วันที่ 18 ตุลาคม 2564 ในความผิดฐาน ผู้ใดกระทำความผิดโดยการ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และฉ้อโกงประชาชน


*****สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว กก.3 บก.ทท.1 ประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับแจ้งจาก น.ส.เข็มทอง ฯ ผู้เสียหายขอให้ช่วยตรวจสอบเที่ยวบินที่ตนเองจะเดินทางไปทำงานประเทศออสเตรเลีย พบว่าไม่มีการจองเที่ยวบินในชื่อผู้เสียหายแต่อย่างใด ทำให้ผู้เสียหายทราบว่าตนเองถูกหลอก สอบถามรายละเอียดทราบว่าผู้เสียหาย ได้ติดต่อไปทำงานประเทศออสเตรเลียผ่านทาง ผู้ต้องหาชื่อ น.ส.ณิศารัตน์ ปัญาโชติสกุล ชื่อเล่นแอม (หลบหนีอยู่ต่างประเทศ) และ น.ส.มาติกา รักขพันธ์ ชื่อเล่น แอ๊พ ร่วมกันพูดคุยหลอกลวงว่าสามารถพาไปทำงานต่างประเทศได้ เสียค่าใช้จ่ายการเดินทางไปแล้วรวม 141,000 บาท โดยโอนเข้าบัญชี น.ส.มาติกา รักขพันธ์ และ นายหัสดี สมหวัง ภายหลังเมื่อถึงวันเดินทางมาที่สนามบินพบไม่มีการจองเที่ยวบินจึงทราบว่าถูกหลอกลวง โดย กลุ่มผู้ต้องหาจะแบ่งหน้าที่กันทำ น.ส.ณิศารัตน์ฯ ผู้เป็นหัวหน้าแก้ง SCAMMER จะใช้ Facebook ที่เปลี่ยนชื่อและภาพโปรไฟล์ไปเรื่อยๆ โพสข้อความเชิญชวนไปทำงานต่างประเทศ ในกลุ่มหางานต่างๆ เมื่อมีเหยื่อติดต่อมาจะลบโพสทิ้ง แล้วให้เหยื่อมาพูดคุยในแอพพลิเคชั่น LINE โดยมี น.ส.มัตติกา รักขพันธ์ ทำหน้าที่เป็นหน้าม้าร่วมพูดคุยหลอกลวงด้วยว่าจะไปทำงานต่างประเทศเช่นเดียวกัน จนผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้ไปอ้างเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าเอกสาร ค่าวิ่งเต้น เมื่อกลุ่มผู้ต้องหาได้เงินจากผู้เสียหายแล้วก็จะตัดการติดต่อทุกช่องทางกับผู้เสียหาย


*****จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ทท.1 ร่วมกับ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทำให้ได้พยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย โดยศาลจังหวัดสมุทรปราการได้อนุมัติหมายจับตามคำขอ และต่อมาได้ทำการจับกุม น.ส.มาติกา รักขพันธ์ และ นายหัสดี สมหวัง ตามหมายจับของศาล ส่วน น.ส.ณิศารัตน์ฯ หัวหน้าขบวน SCAMMER การหลบหนีอยู่ต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการขอนำตัวมาดำเนินคดีต่อไป


*****ภายหลังจับกุมขบวนการ SCAMMER นี้ได้แล้ว มีผู้เสียหายรายอื่นทราบเรื่องส่งตัวแทนจำนวน 10 คน มาแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจท่องเที่ยวและ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ว่าถูกคนร้ายกลุ่มนี้หลอกลวงเช่นเดียวกัน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 4 ล้านบาท จึงได้ช่วยเหลือให้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานแล้วประสานข้อมูลทางคดีไปยังสถานีตำรวจท้องที่เกิดเหตุของผู้เสียหายแต่ละรายเพื่อดำเนินคดีต่อไป และสาเหตุที่ผู้เสียหายไม่ใช้วิธีการจัดหางานของรัฐ เพราะผู้เสียหายส่วนใหญ่จะมีอายุเกิน 40 ปี ไม่สามารถขอไปทำงานต่างประเทศได้ตามปกติ จึงหลงเชื่อกลุ่มผู้ต้องหาว่าสามารถวิ่งเต้นทำเอกสารให้ไปทำงานต่างประเทศได้


*****คดีที่ 2 จับกุม Romance Scam แสร้งรักออนไลน์หลอกโอนเงินค่าพัสดุจากต่าง โดยจับกุม ตัว น.ส.ทิวาพร คำยันต์ อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ 580/2564 ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ในความผิดฐาน ร่วมกันโดยทุจริตหรือหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น
*****สืบเนื่องจาก กลุ่มผู้ต้องหาได้ใช้แอพพลิเคชั่นไลน์ โดยใช้ชื่อว่า “Mogan Melissa” เป็นชาวสหรัฐอเมริกา อ้างว่ารู้จักสนิทสนมกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ผู้เสียหาย เคารพนับถือซึ่งทำงานอยู่ต่างประเทศ จึงได้พูดคุยกับ ผู้หญิงคนดังกล่าวทางแอพพลิเคชั่นไลน์ เรื่อยมา ต่อมาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2563 ผู้หญิงที่ใช้ชื่อว่า “Mogan Melissa” ได้แจ้งว่าอีกประมาณ 2-3 วัน ผู้ใหญ่ที่ผู้เสียหายเคารพนับถือจะส่งสิ่งของสำคัญมาให้

*****ต่อมาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2563 ผู้เสียหายได้รับโทรศัพท์จาก น.ส.ไก่ ซึ่งอ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัท Premium World Cargo ว่ามีกล่องพัสดุส่งมาให้ผู้เสียหายอยู่ที่สนามบินดอนเมือง โดยทางบริษัทจะนำกล่องพัสดุดังกล่าวมาส่งให้ผู้เสียหาย ที่บ้าน แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมและค่าน้ำหนักของ เป็นเงินจำนวน 45,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนเงินจำนวนดังกล่าวไป บัญชีธนาคารทหารไทย เลขที่บัญชี 212-2-51254-0 ชื่อบัญชี นางสาวสุนทรี ส่งศรีแจ้ง จากนั้น น.ส.ไก่ แจ้งว่าทางบริษัทได้สแกนกล่องพัสดุดังกล่าว พบว่าภายในกล่องมีเงินสกุลดอลล่าสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก คิดเป็นเงินไทยประมาณ 30 ล้านบาท ต้องจ่ายเงินเพื่อเป็นค่าประกันสินค้าเพิ่ม โดยผู้เสียหายถูกหลอกโอนเงินทั้งหมด จำนวน 9 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 1,595,000 บาท จนกระทั่งเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 ผู้เสียหาย ยังไม่ได้รับพัสดุดังกล่าว จึงได้พยายามติดต่อ น.ส.ไก่ ทางโทรศัพท์แต่ไม่สามารถติดต่อได้ และได้ติดต่อหญิงที่อ้างว่าชื่อ Mogan Melissa ทางแอพพลิเคชั่นไลน์ ก็ไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน ผู้เสียหาย จึงทราบว่าถูกหลอกลวงและได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.คธม.บช.ทท. ได้จับตัวกุมได้ในเวลาต่อมา เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าถูกอดีตสามีชาวไทยหลอกใช้ให้ไปกดเงินจากตู้ ATM ให้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ทำการสืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

*****แจ้งประชาสัมพันธ์ ข้อมูลความผิดปกติโครงการ ” เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 ” ตามที่รัฐบาล ได้จัดทำโครงการ ” เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 ” เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ การใช้จ่ายภาคประชาชน ผ่านการท่องเที่ยวภายในประเทศ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง สนับสนุนการสร้างงานและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในองค์รวม ปัจจุบันมีผู้ประกอบการโรงแรมและร้านค้า ที่เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 จำนวน 3,019 ราย โดยรัฐบาล สนับสนุนงบประมาณสำหรับโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 จำนวน 15,000 ล้านบาท โดยสนับสนุนในโครงการ 3 รายการคือ ส่วนลดค่าที่พักโรงแรม , ส่วนลดค่าอาหารและค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยว และส่วนลดค่าเดินทางโดยเครื่องบิน โดยประชาชนสามารถลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์และทำรายการใช้สิทธิ์ต่าง ๆ โดยสมัครผ่านแอพเป๋าตัง ใช้สิทธิ์ได้ถึงวันที่ 31 มกราคม 2565

*****ทั้งนี้ ททท. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้ตรวจสอบพบพฤติกรรมการทำธุรกรรมที่ผิดปกติใน โครงการ ” เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 ” โดย พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ อรัญวัฒน์, พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย, พล.ต.ต อภิชาติ สุริบุญญา รอง ผบช.ทท., ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.รัฐพงศ์ แก้วยอด ผกก.คธม.บช.ทท. สืบสวนตรวจสอบกรณีดังกล่าว ปรากฏพบ มีผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม มีพฤติการณ์ทำธุรกรรมไม่เป็นไปตามเงื่อนไขหลักเกณฑ์และส่อไปในทางทุจริต จำนวน 11 โรงแรม และผู้ต้องสงสัย 5 ราย มีพฤติกรรม ใช้นายหน้าหรือตัวแทน ชักชวนประชาชนที่มีแอพเป๋าตัง ลงทะเบียนรับสิทธิ์โครงการฯ ทำการจองห้องพักราคาสูง เพื่อรับเงินส่วนต่างที่รัฐบาลสนับสนุน โดยเสนอ ให้ค่าตอบแทนแก่ประชาชนเพียงเล็กน้อย โดยไม่ได้มีการเข้าพักจริง และบางโรงแรมยังไม่เปิดให้บริการ ใช้นายหน้า ชักชวนนำพาประชาชนมาใช้สิทธิ์จองห้องพัก และทำการเช็คอินนอกสถานที่ตั้งของโรงแรม ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย*****กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว จึงขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนทุกภาคส่วน กรุณาประชาสัมพันธ์ข้อมูล ให้ประชาชนทราบว่าพฤติการณ์ลักษณะดังกล่าวข้างต้น เป็นความผิด และอย่าหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของนายหน้า ที่มาแนะนำหรือชักชวนให้ทำการดังกล่าวโดยได้ค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อย และขอแจ้งเตือน ผู้ประกอบการโรงแรม รวมถึงร้านค้า ที่ร่วมโครงการดังกล่าว ให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขกฎระเบียบตามโครงการฯ ด้วยความสุจริต ทั้งนี้ หากพบผู้มีพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้น ถือว่า มีเจตนา ฝ่าฝืนกฎหมาย จะต้องถูกดำเนินคดีทุกราย ซึ่งเป็นความผิดอาญาที่มีอัตราโทษสูงดังนี้ ” ร่วมกันฉ้อโกง ” มาตรา 341 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

” ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ” มาตรา 342 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ” ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด หรือเบิกถอนเงินสด ” มาตรา 269/7ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ” นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จในประการที่จะก่อความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ ” มาตรา 14(2)ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท“ฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ เป็นความผิดมูลฐาน ฟอกเงิน ” มาตรา 60 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีข้อเสนอแนะ หรือจะแจ้งเบาะแส ความผิดปกติของโครงการ หรือพฤติกรรมการกระทำความผิดอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ การดำเนินธุรกิจด้านการท่องเที่ยว สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่หมายเลข 1155 ได้ตลอด 24 ชม.
************************************************************************************
วิวรรธน์ ยั่งยืนเตชานนท์ สมุทรปราการ 0916986925